Linkedin เป็น social network ที่เน้นไปในทางด้านการทำงาน เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ว่าจ้างและลูกจ้าง ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องของตำแหน่งงานด้าน ไอที ว่ามีความต้องการทักษะในเรื่องใด โดยเฉพาะนักนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล หรือ Data scienceพัฒนาซอฟต์แวร์ และ ทักษะด้าน สถาปนิกด้าน Cloud
Linkedin ทำการวิเคราะห์งานที่เกิดขึ้นใหม่ จากสมาชิกที่เปิดโปรไฟล์สาธารณะ ที่ทำงานเต็มเวลา ในสหรัฐอเมริกา ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จากนั้นทำการคำนวณสัดส่วน ของ การจ้างงานและอัตราการเติบโตประจำปีสำหรับการประกอบอาชีพช่วงปี 2558 - 2562
ลักษณะงานที่เกิดขึ้น 5 อันดับแรกคือ
1. ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ ข้อมูล Linkin บอกว่ามีการเติบโตของการจ้างงานด้นนี้เพิ่มขึ้น 74% ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา เช่นทักษะในการเรียนรุ้ในเรื่องของ machine learning , Deep learning, TensorFlow , ภาษา python และ Natural language processing รวมถึง ระบบ Internet
2. วิศวกรหุ่นยนต์ หรือ Robotics ในด้านนี้เติบโตขึ้นในรอบสี่ปีที่ผ่านมาถึง 40% ทักษะที่ต้องการคือกระบวนการทางด้าน Hardware และ Software ที่ใช้เกี่ยวกับหุ่นยนต์
3. Data scientist ทักษะทางด้านนี้ มีความต้องการเติบโตขึ้นในรอบสามปีที่ผ่านมา สูงถึง 37% แต่เป็นบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ นักสถิติ ที่พัฒนาความรู้เพิมเติม ที่จะต่อไปถึงเรื่องของ การนำไปใช้ในเรื่อง Machine learning python, R, และ Apache Spark
4.Full stack engineer ในรอบสี่ปีนี้เพิ่มขึ้นถึง 34% เช่นกัน Full stack ก็จะหมายถึงกลุ่มนักพัมนาแอปพลิเคชั่น บนCloud ที่ใช้เครื่องมือแตกต่างกันเช่น Lamp Stack, MEAN Stack ที่เติบโตมากจะเป็น MEAN ( MongoDB, Express.js, Angular, และ Node.js. ) รวมถึง React.js ด้วย
5. งานที่เกียวกับ Site reliability engineer หรือกลุ่มที่ทำหน้าที่ทำให้เว็บไซต์ มีความนาเชื่อถือ การถ่ายโอน ระบบมา อยู่กับ Cloud ทักษะในด้านนี้ก็ได้แก่ AWS, Kubenetes, Docker และ Terraform
โดยตำแหน่งงานที่มักจะใช้ประกาศกันออกมาก็จะเป็น
Customer success specialist
Sale development representative
Data engineer
Behavioral health technician
Cyber security specialist
Cloud engineer
JavaScript developer
อ้างอิงจาก
https://www.zdnet.com/article/data-science-dominates-linkedins-emerging-jobs-ranking/
วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2562
วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2562
Deepfake เทคโนโลยี นำมาสร้างแอปพลิเคชั่น Zao ใส่รูปใบเดียวก็เป็นนางเอกในภาพยนต์ได้แล้ว
ก่อนหน้านี้เคยได้นำเสนอเรื่องราวของ DeepFake การสร้างข่าวปลอมในรูปแบบวีดีโอกันมาแล้วนั้น ตอนนี้ก็มีคนจีน ทำแอปพลิเคชั่น ออกมาสร้างความสนุกสนานให้กับผู้ที่ อยากเป็น ดาราใน ซีนของภาพยนต์ดังๆในจีนออกมา โดยใช้การถ่ายรูปใบหน้าของเราเพียงใบเดียว ด็จะสามารถเอาหน้าของเราไปแทน พระเอกนางเอกในวีดีโอนั้นได้ แอปนั้นชื่อ Zao ซึ่งตอนนี้มีอยู่ใน Apple ios ในประเทศจีน แอป Zao ตัวนี้ ผู้พัฒนาว่า Changsha Shenduronghe Network Technology ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Momo บริษัทจีนที่ทำเกี่ยวกับระบบ Live-Streaming และบริการหาคู่
Zao แสดงให้เห็นว่า การสร้างคลิปวีดีโอ ที่ไมจำเป็นต้องใช้ตัวตนจริง ๆ เข้ามาก็สามารถทำได้ เพียงแค่ใช้รูปถ่ายใบเดียว และ Zao แอปได้เตรียมคริป วีดีโอเอาไว้ให้เลือกว่าจะเอาไปใช้กับภาพยนต์เรื่องใด
รายงานจาก south chaina morning post ว่า เรื่องนี้รัฐบาลจีนเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ออกกฏระเบียบ ห้ามนำ เทคโนโลยี deepfaceมาใช้ในทางการเมืองและรวมถึงการนำไปใช้ในทางความมั่นคง แต่ก็ไม่ได้ห้ามว่า แอปนี้จะต้องหยุดพัฒนาหรือให้ติดตั้งกัน รายงานข่าวบอกว่ากฏที่ออกมากว้างมากไมไ่ด้เฉพาะเจาะจงลงไป แต่ละบุว่า "การนำเทคโนดลยีใหม่ ๆ มาใช้ เช่นอุตสาหกรรม Deepface ในวีดีโอออนไลน์ ทำให้มีความเสี่ยงในการใช้เนื้อหาดังกล่าวเพื่อ ขัดขวางระเบียบของสังคมและละเมิดผลประโยชน์ของประชาชน สร้างความเสียหายทางการเมือง และสร้างผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ" ประกาศนี้เป็นข่าว ออกมาเมื่อวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา กฏระเบียบใหม่ของจีนจะนีการร่างขึ้นมา และมีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2563
แอปนี้มีการกล่าวถึงความป็นส่วนตัวว่า Zao จะเก็บรูปไปทำอะไร แน่นอนในวงการ AI การที่จะทำให้ ML นั้นฉลาดขึ้นก็ต้องมีรูปใบหน้าให้มากที่สุดและต้องเป็นอัลกอลิทึ่ม ที่ไม่สามารถใช้ภาพถ่ายมาระบุให้ AI มันรู้จักว่านี้ก็คือใบหน้าอีกเช่นกัน นั้นก็ต้องใช้ภาพใบหน้าที่หลากหลาย
อ้างอิง https://www.scmp.com/tech/apps-social/article/3039978/china-issues-new-rules-clamp-down-deepfake-technologies-used
Zao แสดงให้เห็นว่า การสร้างคลิปวีดีโอ ที่ไมจำเป็นต้องใช้ตัวตนจริง ๆ เข้ามาก็สามารถทำได้ เพียงแค่ใช้รูปถ่ายใบเดียว และ Zao แอปได้เตรียมคริป วีดีโอเอาไว้ให้เลือกว่าจะเอาไปใช้กับภาพยนต์เรื่องใด
รายงานจาก south chaina morning post ว่า เรื่องนี้รัฐบาลจีนเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ออกกฏระเบียบ ห้ามนำ เทคโนโลยี deepfaceมาใช้ในทางการเมืองและรวมถึงการนำไปใช้ในทางความมั่นคง แต่ก็ไม่ได้ห้ามว่า แอปนี้จะต้องหยุดพัฒนาหรือให้ติดตั้งกัน รายงานข่าวบอกว่ากฏที่ออกมากว้างมากไมไ่ด้เฉพาะเจาะจงลงไป แต่ละบุว่า "การนำเทคโนดลยีใหม่ ๆ มาใช้ เช่นอุตสาหกรรม Deepface ในวีดีโอออนไลน์ ทำให้มีความเสี่ยงในการใช้เนื้อหาดังกล่าวเพื่อ ขัดขวางระเบียบของสังคมและละเมิดผลประโยชน์ของประชาชน สร้างความเสียหายทางการเมือง และสร้างผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ" ประกาศนี้เป็นข่าว ออกมาเมื่อวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา กฏระเบียบใหม่ของจีนจะนีการร่างขึ้นมา และมีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2563
แอปนี้มีการกล่าวถึงความป็นส่วนตัวว่า Zao จะเก็บรูปไปทำอะไร แน่นอนในวงการ AI การที่จะทำให้ ML นั้นฉลาดขึ้นก็ต้องมีรูปใบหน้าให้มากที่สุดและต้องเป็นอัลกอลิทึ่ม ที่ไม่สามารถใช้ภาพถ่ายมาระบุให้ AI มันรู้จักว่านี้ก็คือใบหน้าอีกเช่นกัน นั้นก็ต้องใช้ภาพใบหน้าที่หลากหลาย
อ้างอิง https://www.scmp.com/tech/apps-social/article/3039978/china-issues-new-rules-clamp-down-deepfake-technologies-used
วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
uber พัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ เพื่อ ทำนายพฤติกรรมของคนเดินเท้า
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้ายานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองจะค่อยๆกลายเป็นพาหนะที่ได้รับความนิยม อย่างไรก็ตามก่อนที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นนักวิจัยจะต้องพัฒนาเครื่องมือที่ทำให้ยานพาหนะเหล่านี้ปลอดภัยและสามารถนำทางได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่มีประชากรอาศัยอยู่
เนื่องจากยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองได้รับการออกแบบมาเพื่อเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวางทั้งที่เคลื่อนที่และเคลื่อนที่พวกเขาควรจะสามารถตรวจจับวัตถุได้อย่างรวดเร็วและหลีกเลี่ยง วิธีหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายนี้คือการพัฒนาแบบจำลองที่สามารถทำนายพฤติกรรมในอนาคตของวัตถุหรือผู้คนบนท้องถนน
เมื่อปีที่แล้วหนึ่งในรถยนต์ที่ขับด้วยตนเองของ Uber ได้ทำ หญิงวัย 49 ปีในรัฐแอริโซนา อุบัติเหตุครั้งนี้รได้ทำให้การถกเถียงอย่างมากเกี่ยวกับความปลอดภัยของยานพาหนะที่ขับขี่ด้วยตนเองรวมถึงการทดสอบว่ายานพาหนะเหล่านี้ควรได้รับการทดสอบในสภาพแวดล้อมที่มีประชากรหรือไม่
ประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเอกสารใหม่ที่ออกโดยคณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NTSB) เปิดเผยว่ายานพาหนะอัตโนมัติของ Uber ที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุร้ายแรงในปีที่แล้วไม่ได้ระบุว่า หญิงวัย 49 ปี เป็นคนเดินเท้า รายงานเดียวกันนี้ชี้ให้เห็นว่ายานพาหนะอัตโนมัติที่เกี่ยวข้องกับการชนนั้นไม่เคยได้รับการฝึกฝนให้ตรวจจับคนเดินเท้าที่ที่อยู่นอกทางม้าลาย
การพัฒนาต่อไปจึงเน้นการพัฒนา AI ขั้นสูงและซอฟต์แวร์ที่มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นก่อนที่ยานพาหนะที่ขับขี่ด้วยตนเองจะสามารถทดสอบบนถนนจริงได้ ที่น่าสนใจคือวันก่อนเอกสารชอง NTBS จะเผยแพร่ออกมา นักวิจัยของกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูงของ Uber มหาวิทยาลัยโตรอนโตและ UC Berkeley ได้รับการตีพิมพ์ล่วงหน้าบน arXiv พวกเขาได้แนะนำเทคนิคใหม่ในการทำนายพฤติกรรมคนเดินเท้าที่เรียกว่า discrete residual flow network (DRF-NET) นักวิจัยกล่าวว่า AI จะสามารถทำนายพฤติกรรมของคนเดินถนนในอนาคตใน เพื่อตรวจจับความไม่แน่นอน เพื่อการพยากรณ์การเคลื่อนที่ในระยะยาว
อ้างอิง
https://techxplore.com/news/2019-11-uber-technique-pedestrian-behavior-documents.html
เนื่องจากยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองได้รับการออกแบบมาเพื่อเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวางทั้งที่เคลื่อนที่และเคลื่อนที่พวกเขาควรจะสามารถตรวจจับวัตถุได้อย่างรวดเร็วและหลีกเลี่ยง วิธีหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายนี้คือการพัฒนาแบบจำลองที่สามารถทำนายพฤติกรรมในอนาคตของวัตถุหรือผู้คนบนท้องถนน
เมื่อปีที่แล้วหนึ่งในรถยนต์ที่ขับด้วยตนเองของ Uber ได้ทำ หญิงวัย 49 ปีในรัฐแอริโซนา อุบัติเหตุครั้งนี้รได้ทำให้การถกเถียงอย่างมากเกี่ยวกับความปลอดภัยของยานพาหนะที่ขับขี่ด้วยตนเองรวมถึงการทดสอบว่ายานพาหนะเหล่านี้ควรได้รับการทดสอบในสภาพแวดล้อมที่มีประชากรหรือไม่
ประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเอกสารใหม่ที่ออกโดยคณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NTSB) เปิดเผยว่ายานพาหนะอัตโนมัติของ Uber ที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุร้ายแรงในปีที่แล้วไม่ได้ระบุว่า หญิงวัย 49 ปี เป็นคนเดินเท้า รายงานเดียวกันนี้ชี้ให้เห็นว่ายานพาหนะอัตโนมัติที่เกี่ยวข้องกับการชนนั้นไม่เคยได้รับการฝึกฝนให้ตรวจจับคนเดินเท้าที่ที่อยู่นอกทางม้าลาย
การพัฒนาต่อไปจึงเน้นการพัฒนา AI ขั้นสูงและซอฟต์แวร์ที่มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นก่อนที่ยานพาหนะที่ขับขี่ด้วยตนเองจะสามารถทดสอบบนถนนจริงได้ ที่น่าสนใจคือวันก่อนเอกสารชอง NTBS จะเผยแพร่ออกมา นักวิจัยของกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูงของ Uber มหาวิทยาลัยโตรอนโตและ UC Berkeley ได้รับการตีพิมพ์ล่วงหน้าบน arXiv พวกเขาได้แนะนำเทคนิคใหม่ในการทำนายพฤติกรรมคนเดินเท้าที่เรียกว่า discrete residual flow network (DRF-NET) นักวิจัยกล่าวว่า AI จะสามารถทำนายพฤติกรรมของคนเดินถนนในอนาคตใน เพื่อตรวจจับความไม่แน่นอน เพื่อการพยากรณ์การเคลื่อนที่ในระยะยาว
อ้างอิง
https://techxplore.com/news/2019-11-uber-technique-pedestrian-behavior-documents.html
วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
เทคโนโลยีที่เข้ามาใช้ในโรงเรียนอาจมีผลกระทบเรื่องความเป็นส่วนตัวของนักเรียน
วันนี้จะขอพูดถึงเรื่อง เทคโนโลยีที่กำลังเข้ามามีบทบาทในโรงเรียน เพื่อใช้ในการเรียนการสอน ใช้ติดตามการ ทำแบบฝึกหัด ทำกิจกรรมในชั้นเรียน ตั้งแต่นักเรียนในระดับมัธยมศึกษา จนถึง มหาวิทยาลัย ปัจจุบันถึงแม้ว่า บ้านเราจะยังมีการใช้งานน้อยมาก เมื่อเทียบกับ โรงเรียนในสหรัฐอเมริกา แอปพลิเคชั่นอย่างเช่น Google classroom และ ClassDojo ถูกนำมาใช้ในโรงเรียน รายงานของ (washingtonpost, 2019) อ้างว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ของโรงเรียน K-8 ในสหรัฐอมเนริกา ใช้แอปพลิเคชั่นเหล่านี้ในการให้คะแนน ในการมีส่วนร่วมของเด็ก ๆ ที่อยู่ในแอปพลิเคชั้น
แอปแบบนี้ครูจะสร้างชั้นเรียนออนไลน์ขึ้นมาจากนั้นก็จะใช้ e-mail ในการสมัครใช้งาน นักเรียนทุกคนจะมี e-mail เป็นของตัวเองและจะเข้าชั้นเรียนผ่านการเชิญของครูประจำวิชา การเรียนการสอนในชั้นเรียนจริง แต่ก็มีกิจกรรมในกลุ่มออนไลน์ เช่น ครูใส่วีดีโอ เนื้อหาลงไปและติดตามว่ามีนักเรียนคนไหนคลิกเข้าไปดูบ้างแบบนี้เป็นต้น
ประเทศไทย มีการใช้ Google for Education กันมากขึ้นแต่สำหรับ Google Class room นั้นพบจากแวดวงคนใกล้ชิดว่า ใช้กันน้อยมากจนถึงไม่ได้ใช้งานเลย
เมื่อเรามามองต่างมุมกันว่าใช้โซเชียลมีเดีย เราก็จะพบว่า เราถูกจับตาจากปัญญาประดิษฐ์ เพื่อวิเคราะห์ว่า เราชอบอะไร ชอบทำอะไร ชอบทานอะไร มันก็จะเอาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องมาให้เขาเห็น เราก็จะคิดว่าความเป็นส่วนตัวเราไม่มีแล้ว โซเชียลมีเดีย รู้หมด
แล้วแอปพลิเคชั่นเพื่อการศึกษาเหล่านี้จะเอาข้อมูลส่วนบุคคลของเด็ก ๆ ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนไปใช้ในเชิงพาณิชย์ เช่นส่งโฆษณามาให้ ข้อมูลความเป็นส่วนตัวที่ดูเหมือนจะเล็กลงไปเพราะ บริษัทอย่าง Google เองก็ออกมาให้ความเห็นว่า นโยบายความเป็นส่วนตัวของนักเรียนจะไม่ถูกแบ่งปันกับบริษัทเพื่อประโยชน์ทางการตลาดหรือการโฆษณาและผู้ปกครองสามารถขอลบได้
มันสะท้อนถึงความไม่ไว้วางใจในเทคโนโลยีที่มีมากขึ้น จากการสำรวจของ (pew Research center) เมื่อปี 2018 มีเพียง 1 ใน 4 ของชาว อเมริกันที่คิดว่า บริษัทจะปกป้องการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
มามองในมุมมองถึงประโยชน์ในการใช้ เครื่องมือออนไลน์ในการเรียนการสอน หรือ บางคนเรียก e-learning ว่าโดยความเป็นจริงแล้ว เราสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้เช่น
ในภาวะที่การเดินทางมีปัญหาการจราจร ภาวะมลพิษทางอากาศ เราอาจจะใช้ e-learning ในการเรียนการสอนผสมผสานกับการเรียนในห้องเรียน ลดเวลาการเดินทาง
การใช้ e-learning เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และครูมีสื่อการสอนอย่างเท่าเทียม มีวิธีการถ่ายทอดที่ ครูสามารถแลกเปลี่ยนกัน ด้วยการเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย
การใช้ Google classroom หรือ ClassDoJo จะช่วยประหยัดงบประมาณในการดูแลระบบ เพราะเจ้าของระบบเป็นผู้ดูแล ครูมีหน้าที่สร้างสื่อการเรียนการสอน นำกระบวนการสอนเหล่านี้ไปใช้เป็นกิจกรรมในชั้นเรียน เช่นให้เด็กๆ ทำแบบฝึกหัดออนไลน์มากจากบ้าน หรือ ดูวีดีโอการบรรยายมาก่อนจากนั้น ใช้เวลาในห้องเรียนในการถามตอบ สรุปออกมาเป็นความรู้
การใช้ e-learning เพื่อลดปัญหาการแบกหนังสือเรียน ของเด็กๆไปโรงเรียนทุกวัน จนหลังเสียปัญหาเรื่องราคาหนังสือเรียน หรือ การขาดแคลนหนังสือ
การขาดครูอาจจะใช้ร่วมกับการเรียนทางไกลผ่านดาวเทียมแล้วให้นักเรียนและครูประจำชั้น ทำกิจกรรมผ่านระบบออนไลน์
โดยส่วนตัวผมแล้วคิดว่าประโยชน์ยังมีมากกว่าความหวาดระแวงเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลที่จะไปมีประโยชน์ ต่อ บริษัทโฆษณา หากเป็นโฆษณาที่ให้ ทางเลือกในการศึกษา ต่อ หรือ ทุนการศึกษาในต่างประเทศ หรือ ในประเทศ ก็น่าสนับสนุน
อ้างอิง :
Heather Kelly, 2019, School apps track students from classroom to bathroom, and parents are struggling to keep up,washington post ,https://www.washingtonpost.com/technology/2019/10/29/school-apps-track-students-classroom-bathroom-parents-are-struggling-keep-up/?arc404=true
AARON SMIT, 2018, Public Attitudes Toward Technology Companies ,pew research,
https://www.pewresearch.org/internet/2018/06/28/public-attitudes-toward-technology-companies/
แอปแบบนี้ครูจะสร้างชั้นเรียนออนไลน์ขึ้นมาจากนั้นก็จะใช้ e-mail ในการสมัครใช้งาน นักเรียนทุกคนจะมี e-mail เป็นของตัวเองและจะเข้าชั้นเรียนผ่านการเชิญของครูประจำวิชา การเรียนการสอนในชั้นเรียนจริง แต่ก็มีกิจกรรมในกลุ่มออนไลน์ เช่น ครูใส่วีดีโอ เนื้อหาลงไปและติดตามว่ามีนักเรียนคนไหนคลิกเข้าไปดูบ้างแบบนี้เป็นต้น
ภาพตัวอย่างห้องเรียนออนไลน์ของ ClassDojo.com
ตัวอย่าง Google classroom
เมื่อเรามามองต่างมุมกันว่าใช้โซเชียลมีเดีย เราก็จะพบว่า เราถูกจับตาจากปัญญาประดิษฐ์ เพื่อวิเคราะห์ว่า เราชอบอะไร ชอบทำอะไร ชอบทานอะไร มันก็จะเอาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องมาให้เขาเห็น เราก็จะคิดว่าความเป็นส่วนตัวเราไม่มีแล้ว โซเชียลมีเดีย รู้หมด
แล้วแอปพลิเคชั่นเพื่อการศึกษาเหล่านี้จะเอาข้อมูลส่วนบุคคลของเด็ก ๆ ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนไปใช้ในเชิงพาณิชย์ เช่นส่งโฆษณามาให้ ข้อมูลความเป็นส่วนตัวที่ดูเหมือนจะเล็กลงไปเพราะ บริษัทอย่าง Google เองก็ออกมาให้ความเห็นว่า นโยบายความเป็นส่วนตัวของนักเรียนจะไม่ถูกแบ่งปันกับบริษัทเพื่อประโยชน์ทางการตลาดหรือการโฆษณาและผู้ปกครองสามารถขอลบได้
มันสะท้อนถึงความไม่ไว้วางใจในเทคโนโลยีที่มีมากขึ้น จากการสำรวจของ (pew Research center) เมื่อปี 2018 มีเพียง 1 ใน 4 ของชาว อเมริกันที่คิดว่า บริษัทจะปกป้องการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
มามองในมุมมองถึงประโยชน์ในการใช้ เครื่องมือออนไลน์ในการเรียนการสอน หรือ บางคนเรียก e-learning ว่าโดยความเป็นจริงแล้ว เราสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้เช่น
ในภาวะที่การเดินทางมีปัญหาการจราจร ภาวะมลพิษทางอากาศ เราอาจจะใช้ e-learning ในการเรียนการสอนผสมผสานกับการเรียนในห้องเรียน ลดเวลาการเดินทาง
การใช้ e-learning เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และครูมีสื่อการสอนอย่างเท่าเทียม มีวิธีการถ่ายทอดที่ ครูสามารถแลกเปลี่ยนกัน ด้วยการเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย
การใช้ Google classroom หรือ ClassDoJo จะช่วยประหยัดงบประมาณในการดูแลระบบ เพราะเจ้าของระบบเป็นผู้ดูแล ครูมีหน้าที่สร้างสื่อการเรียนการสอน นำกระบวนการสอนเหล่านี้ไปใช้เป็นกิจกรรมในชั้นเรียน เช่นให้เด็กๆ ทำแบบฝึกหัดออนไลน์มากจากบ้าน หรือ ดูวีดีโอการบรรยายมาก่อนจากนั้น ใช้เวลาในห้องเรียนในการถามตอบ สรุปออกมาเป็นความรู้
การใช้ e-learning เพื่อลดปัญหาการแบกหนังสือเรียน ของเด็กๆไปโรงเรียนทุกวัน จนหลังเสียปัญหาเรื่องราคาหนังสือเรียน หรือ การขาดแคลนหนังสือ
การขาดครูอาจจะใช้ร่วมกับการเรียนทางไกลผ่านดาวเทียมแล้วให้นักเรียนและครูประจำชั้น ทำกิจกรรมผ่านระบบออนไลน์
โดยส่วนตัวผมแล้วคิดว่าประโยชน์ยังมีมากกว่าความหวาดระแวงเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลที่จะไปมีประโยชน์ ต่อ บริษัทโฆษณา หากเป็นโฆษณาที่ให้ ทางเลือกในการศึกษา ต่อ หรือ ทุนการศึกษาในต่างประเทศ หรือ ในประเทศ ก็น่าสนับสนุน
อ้างอิง :
Heather Kelly, 2019, School apps track students from classroom to bathroom, and parents are struggling to keep up,washington post ,https://www.washingtonpost.com/technology/2019/10/29/school-apps-track-students-classroom-bathroom-parents-are-struggling-keep-up/?arc404=true
AARON SMIT, 2018, Public Attitudes Toward Technology Companies ,pew research,
https://www.pewresearch.org/internet/2018/06/28/public-attitudes-toward-technology-companies/
วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2562
Facebook Horizon โซเชียลเน็ตเวิรค์ในโลกเสมือนจริง
Facebook เปิดตัวโครงการ Horizon ซึ่งจะเป็นโซเชียลมีเดีย ในรูปแบบใหม่ที่จะนำผู้ใช้งานเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนจริง ผ่านการสวมใส่อุปกรณ์ Oculus Quest หรือ Oculus Rift หรือที่เรารู้จักกันในรูปแบบ VR HeadSet ทุกคนจะเข้าไปใช้ชีวิต พูดคุยกับเพื่อน หรือ เพื่อนใหม่ในรูปแบบของ 3D และยังสามารถเล่นเกมส์ด้วยกัน
ผู้คนที่เข้ามาสามารถที่จะสร้างโลกของตัวเอง Facbook Horizon จะเปิดตัวในช่วงปี 2020 ในอดีตก็มีโซเชียลมีดีในรูปแบบนี้เหมือนกันที่ชื่อว่า Second Life แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมอาจจะเป็นเพราะการใช้งาน แต่อย่างไรก็ดีเฟสบุค ลงมาเล่นเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่คาดเดายากเช่นกันว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะผู้ใช้ต้องซื้ออุปกรณ์เสริม ซึ่งก็จะคล้าย ๆ กับ PSVR Dreams ของ PlayStation และ Roblox ว่ากันว่าในปี 2559 Facebook ได้แจกนวนิยายเรื่อง Ready Player One ให้กับพนักงานของเขาเพื่อเริ่มสร้างฝันด้วยกัน
การเปิดตัวในครั้งนี้สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://www.oculus.com/facebookhorizon/sign-up/
สำหรับใครที่กำลังเบื่อกับโซเชียลมีเดียในรูปแบบเดิมและมาสร้างโลกใหม่ หากใครเคยชมภาพยนต์เรื่อง Ready Player One ก็จะเข้าใจรูปแบบเพียงแต่ ตัว Avatar ใน Horizon จะไม่มีขา เมื่อเราเข้ามาใน Horizon ทุกคนสามารถออกแบบชายหาดส่วนตัว ผ่านเครื่องมือ ใน VR ที่เรียกว่า Horizon World Builder
faceBook Horizon จะสร้างประสบการณ์และความเปลี่ยนแปลงให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ต้อง เข้ามาสร้าง บิลบอร์ด โฆษณาต่าง ๆ ในนี้ และ เกมส์ในรูปแบบใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในโลกเสมือนจริง
ผู้คนที่เข้ามาสามารถที่จะสร้างโลกของตัวเอง Facbook Horizon จะเปิดตัวในช่วงปี 2020 ในอดีตก็มีโซเชียลมีดีในรูปแบบนี้เหมือนกันที่ชื่อว่า Second Life แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมอาจจะเป็นเพราะการใช้งาน แต่อย่างไรก็ดีเฟสบุค ลงมาเล่นเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่คาดเดายากเช่นกันว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะผู้ใช้ต้องซื้ออุปกรณ์เสริม ซึ่งก็จะคล้าย ๆ กับ PSVR Dreams ของ PlayStation และ Roblox ว่ากันว่าในปี 2559 Facebook ได้แจกนวนิยายเรื่อง Ready Player One ให้กับพนักงานของเขาเพื่อเริ่มสร้างฝันด้วยกัน
การเปิดตัวในครั้งนี้สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://www.oculus.com/facebookhorizon/sign-up/
สำหรับใครที่กำลังเบื่อกับโซเชียลมีเดียในรูปแบบเดิมและมาสร้างโลกใหม่ หากใครเคยชมภาพยนต์เรื่อง Ready Player One ก็จะเข้าใจรูปแบบเพียงแต่ ตัว Avatar ใน Horizon จะไม่มีขา เมื่อเราเข้ามาใน Horizon ทุกคนสามารถออกแบบชายหาดส่วนตัว ผ่านเครื่องมือ ใน VR ที่เรียกว่า Horizon World Builder
faceBook Horizon จะสร้างประสบการณ์และความเปลี่ยนแปลงให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ต้อง เข้ามาสร้าง บิลบอร์ด โฆษณาต่าง ๆ ในนี้ และ เกมส์ในรูปแบบใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในโลกเสมือนจริง
วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2562
e-book ในปี 2019
e-book ถือได้ว่าเป็นความสะดวกสบายอีกรูปแบบหนึ่งของคนรักการอ่าน ความสะดวกของนักวิชาการที่จะสามารถหาหนังสือมาอ่านได้มากมายและรวดเร็ว ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น สาเหตุหลักๆ ก็มาจากการที่ e-book มีการปรับธุรกิจด้านนี้
e-book เป็นการขายในรูปแบบเดียวกับหนังสือ คือ ซื้อเป็นเล่ม ในรูปแบบ e-book คนอ่านก็มีความรู้สึกว่า ราคาไม่ได้ถูกลงมาก คนส่วนใหญ่ก็จะยังอยากซื้อเป็นเล่มกระดาษ เพราะสำนักพิมพ์ ต้องมีคนตรวจคำผิด จัดรูปเล่ม และแปลงเอกสาร ดิจิทัล ให้อยู่ในรูปแบบ epub เพื่อให้สะดวกต่อการอ่านบนหน้าจออุปกรณ์ที่มี ขนาดหลากหลาย โดย epub จะปรับจำนวนหน้าและขนาดตัวอักษรให้น่าอ่าน มากขึ้น
e-book ในรูปแบบ บอกรับสมาชิก เช่น amazon unlimited รูปแบบนี้สมาชิกสามารถอ่านหนังสือเล่มไหนก็ได้ที่ร่วมรายการ สำหรับเล่มที่ไม่ได้ร่วมรายการ ก็จะผลักไปให้ ซื้อเป็นเรื่องๆไป
การขายหนังสือแบบบอกรับสมาชิกทำให้การค้นคว้าหนังสือตำราวิชาการทำได้ง่ายสะดวก โดย เช่น ของค่า safarionline สมาชิกสามารถ อ่านหนังสือได้หลายสำนักพิมพ์ บนหน้าจอ แทปเล็ต และ คอมพิวเตอร์ หรือ มือถือ โดยการบอกรับสมาชิก สมาชิกจะอ่านเล่มไหนด็ได้หมด รวมถึง วีดีโอการสอน ที่สามารถเข้าถึงได้ทันทีซึ่งเป็นกลยุทธที่ ถูกใจสมาชิกให้ต้องต่ออายุกันทุกปี
ในไทยเองการบอกรับสมาชิก ถ็ถูกนำมาใช้เหมือนกันกับค่ายหนังสือออนไลน์เช่น ookbee (https://www.ookbee.com/) ยังมีบริการพิมพ์เป็นกระดาษ ส่วน meb (https://www.mebmarket.com) และมี ebook ฟรีให้ดึงดูดผู้อ่านอีกด้วย
สำหรับตลาด e-book ไทยที่สดใสจะเป็นพวกหนังสือแนวนิยายที่ขายได้ดี สะดวก เพราะนิยายหากนำมาพิมพ์เป็นเล่มบางเรื่องก็ประเมินความต้องการตลาดยากแต่พิมาเป็น e-book ก็จะ
ล่าสุดสำนักพิมพ์ เพียร์สัน ประกาศจะ ค่อย ๆ หยุดพิมพ์ ตำราเรียนและหันมาให้นักเรียนได้เช่าหนังสือจาก ดิจิทัล แทนซึ่งจะสามารถปรับปรุงเนื้อหาได้
(voice online )ระบุว่า 'เพียร์สัน' บริษัทสัญชาติอังกฤษผู้จัดพิมพ์ตำราเรียนรายใหญ่ในสหรัฐฯ ซึ่งมีสำนักพิมพ์ลองแมนและเพนกวินบุ๊กส์อยู่ในเครือ จะพิมพ์ตำราเรียนที่เป็นกระดาษน้อยลง และหันไปให้ความสำคัญกับอีบุ๊กส์มากขึ้น
(BBC) พียร์สันได้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันเจ็บปวดมาหลายปีหลังจากยอดขายและกำไรที่ลดลง แต่ดูเหมือนว่าจะมีมุมหนึ่งในปี 2561 ยอดขายพื้นฐานของ บริษัท เพิ่มขึ้น 2% ในไตรมาสแรกของปี 2562 แม้ว่า บริษัท จะยอมรับรายได้ในธุรกิจของสหรัฐอาจลดลง 5% ในปีนี้นายฟอลลอนกล่าวว่าแผนการสำหรับตำราเรียนจะเริ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกา แต่ในเวลาต่อมาจะขยายไปสู่ตลาดอื่น ๆ รวมถึงสหราชอาณาจักร
กลับมาที่ตลาดไทยบ้างครับ อย่างไรก็ดีตำราเรียนในเมืองไทยก็ ยัง พิมพ์เป็นเล่มกระดาษอยู่ และ ตำราเรียนของไทยยังไม่ได้เป็น e-book และถ้ามีเป็น e-book ส่วนใหญ่ก็จะไม่มีเป็นกระดาษ
ส่วนตัวผม อ่านทั้งเป็นกระดาษ และ เป็น e-book และกระดาษยังจับต้องได้ผมสามารถ ให้เพื่อน ยืมอ่านได้ หรือ ซื้อเป็นของฝากของขวัญได้ ส่วน ebook ก็ทำได้ในส่วนของการซื้อเป็น ของขวัญก็ทำให้เพิ่มจำนวนผู้อ่านได้อีกด้วย
อ้างอิงจาก voice online และ BBC
e-book เป็นการขายในรูปแบบเดียวกับหนังสือ คือ ซื้อเป็นเล่ม ในรูปแบบ e-book คนอ่านก็มีความรู้สึกว่า ราคาไม่ได้ถูกลงมาก คนส่วนใหญ่ก็จะยังอยากซื้อเป็นเล่มกระดาษ เพราะสำนักพิมพ์ ต้องมีคนตรวจคำผิด จัดรูปเล่ม และแปลงเอกสาร ดิจิทัล ให้อยู่ในรูปแบบ epub เพื่อให้สะดวกต่อการอ่านบนหน้าจออุปกรณ์ที่มี ขนาดหลากหลาย โดย epub จะปรับจำนวนหน้าและขนาดตัวอักษรให้น่าอ่าน มากขึ้น
e-book ในรูปแบบ บอกรับสมาชิก เช่น amazon unlimited รูปแบบนี้สมาชิกสามารถอ่านหนังสือเล่มไหนก็ได้ที่ร่วมรายการ สำหรับเล่มที่ไม่ได้ร่วมรายการ ก็จะผลักไปให้ ซื้อเป็นเรื่องๆไป
การขายหนังสือแบบบอกรับสมาชิกทำให้การค้นคว้าหนังสือตำราวิชาการทำได้ง่ายสะดวก โดย เช่น ของค่า safarionline สมาชิกสามารถ อ่านหนังสือได้หลายสำนักพิมพ์ บนหน้าจอ แทปเล็ต และ คอมพิวเตอร์ หรือ มือถือ โดยการบอกรับสมาชิก สมาชิกจะอ่านเล่มไหนด็ได้หมด รวมถึง วีดีโอการสอน ที่สามารถเข้าถึงได้ทันทีซึ่งเป็นกลยุทธที่ ถูกใจสมาชิกให้ต้องต่ออายุกันทุกปี
ในไทยเองการบอกรับสมาชิก ถ็ถูกนำมาใช้เหมือนกันกับค่ายหนังสือออนไลน์เช่น ookbee (https://www.ookbee.com/) ยังมีบริการพิมพ์เป็นกระดาษ ส่วน meb (https://www.mebmarket.com) และมี ebook ฟรีให้ดึงดูดผู้อ่านอีกด้วย
สำหรับตลาด e-book ไทยที่สดใสจะเป็นพวกหนังสือแนวนิยายที่ขายได้ดี สะดวก เพราะนิยายหากนำมาพิมพ์เป็นเล่มบางเรื่องก็ประเมินความต้องการตลาดยากแต่พิมาเป็น e-book ก็จะ
ล่าสุดสำนักพิมพ์ เพียร์สัน ประกาศจะ ค่อย ๆ หยุดพิมพ์ ตำราเรียนและหันมาให้นักเรียนได้เช่าหนังสือจาก ดิจิทัล แทนซึ่งจะสามารถปรับปรุงเนื้อหาได้
(voice online )ระบุว่า 'เพียร์สัน' บริษัทสัญชาติอังกฤษผู้จัดพิมพ์ตำราเรียนรายใหญ่ในสหรัฐฯ ซึ่งมีสำนักพิมพ์ลองแมนและเพนกวินบุ๊กส์อยู่ในเครือ จะพิมพ์ตำราเรียนที่เป็นกระดาษน้อยลง และหันไปให้ความสำคัญกับอีบุ๊กส์มากขึ้น
(BBC) พียร์สันได้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันเจ็บปวดมาหลายปีหลังจากยอดขายและกำไรที่ลดลง แต่ดูเหมือนว่าจะมีมุมหนึ่งในปี 2561 ยอดขายพื้นฐานของ บริษัท เพิ่มขึ้น 2% ในไตรมาสแรกของปี 2562 แม้ว่า บริษัท จะยอมรับรายได้ในธุรกิจของสหรัฐอาจลดลง 5% ในปีนี้นายฟอลลอนกล่าวว่าแผนการสำหรับตำราเรียนจะเริ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกา แต่ในเวลาต่อมาจะขยายไปสู่ตลาดอื่น ๆ รวมถึงสหราชอาณาจักร
กลับมาที่ตลาดไทยบ้างครับ อย่างไรก็ดีตำราเรียนในเมืองไทยก็ ยัง พิมพ์เป็นเล่มกระดาษอยู่ และ ตำราเรียนของไทยยังไม่ได้เป็น e-book และถ้ามีเป็น e-book ส่วนใหญ่ก็จะไม่มีเป็นกระดาษ
ส่วนตัวผม อ่านทั้งเป็นกระดาษ และ เป็น e-book และกระดาษยังจับต้องได้ผมสามารถ ให้เพื่อน ยืมอ่านได้ หรือ ซื้อเป็นของฝากของขวัญได้ ส่วน ebook ก็ทำได้ในส่วนของการซื้อเป็น ของขวัญก็ทำให้เพิ่มจำนวนผู้อ่านได้อีกด้วย
อ้างอิงจาก voice online และ BBC
วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2562
การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในประเทศ
ในการทำสื่อออนไลน์ ขายสินค้า หรือการสร้างเนื้อหาใน youtube เว็บไซต์ธรรมนิติเปิดเผยว่า ผู้ประกอบการไทย(ธรรมนิติ, ) ละเมิดลิขสิทธิ์ เพลง ภาพ ซอฟต์แวร์ ในโลกออนไลน์ เพื่อเผยแพร่ จะเป็นเรื่องของการใช้มีเดีย ภาพ เสียง รูปแบบฟ้อนต์ เครื่องมือที่ใช้หรือซอฟต์แวร์
ปัจจุบันยังพบว่าการละเมิดลิขสิทธ์โดยฉพาะผู้ประกอบการ อิสระ SME ไปจนถึง สถานประกอบการณ์ จะหนักไปทางซอฟต์แวร์ ปี 2560 ระบุว่าประเทศไทยละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ สูง ถึง 66% เป็นอันดับที่ 3 ของเอเซียแปซิฟิก (thaipublica) ในปี 2560 อัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ฯ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อยู่ที่ 57% คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 16,439 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 61% ในปี 2558
สำหรับในประเทศไทย อัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ อยู่ที่ 66% ในปี 2560 คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 714 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 69% ในปี 2558 ตัวเลขในประเทศไทยแสดงให้เห็นว่า ในจำนวนคอมพิวเตอร์ 100 เครื่อง มีการติดตั้งซอฟต์แวร์เถื่อน 66 เครื่อง
ข่าวจากหนังสือพิมพ์(ประชาชาติ)สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ประกาศการประเมินสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยในฐานะคู่ค้าตามกฎหมายการค้าสหรัฐ มาตรา 301 พิเศษ ให้อยู่ในกลุ่มบัญชีจับตาธรรมดา (Watch List : WL) จากก่อนนี้ที่อยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List-PWL) เนื่องจากปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ที่ลดลง
ผลกระทบจากการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์
1. การจ้างงานจากต่างประเทศ จะมองว่า เป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เพราะผู้ประกอบการไทย ใช้ซอฟต์แวร์ Crack ไม่มีค่าใช้จ่าย เช่นซอฟต์แวร์ออกแบบเขียนแบบ ซอฟต์แวร์ 3D
2. เมื่อใช้ ซอฟต์แวร์ crack เพื่อปลดล๊อก วันหมดอายุ หรือ เพื่อใส่ ไลเซนต์คีย์ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการ crack จะนำพาไวรัส หรือ มัลแวร์ เข้ามาสร้างความเสียหายกับข้อมูล เช่น มีการ เข้ารหัสเรียกค่าไถ่ ข้อมูลที่ไม่สามารถเข้าไปใช้งานได้
3. ต้นทุนจะสูงขึ้น เมื่อถูกจับ และปรับ
4. เมื่อเป็นประเทศจับตามอง
ประเมินว่าจากนี้ปัญหาจะลดลงเรื่อย ๆ จากเทรนด์เทคโนโลยีที่เน้นการใช้ซอฟต์แวร์ผ่านระบบคลาวด์ ซึ่งทำให้เจ้าของสิทธิ์ตรวจสอบง่าย ขณะที่ซอฟต์แวร์ในรูปแบบเดิมค่อย ๆ ทยอยหยุดการอัพเกรด
ข่าวจากหนังสือพิมพ์(ประชาชาติ)“ประเทศจีนการละเมิดลิขสิทธิ์เกือบ 100% แต่พอมาใช้โมบายและคลาวด์ อัตราการละเมิดสิทธิ์ลดลงเร็วกว่าไทยมาก โดยคาดว่าไทยอาจใช้เวลาประมาณ 20 ปี เพราะประเมินว่ากว่าครึ่งของบริษัทในไทยยังมีการละเมิดสิทธิ์ซอฟต์แวร์ และหลายองค์กรยังไม่เปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีคลาวด์ บั่นทอนศักยภาพการแข่งขัน ทั้งที่มีผลวิจัยระบุว่า ถ้า 10% ขององค์กรใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย จะดัน GDP ประเทศเพิ่มได้ 1%”
ปัญหานี้จะลดลงถ้า
ปัจจุบันยังพบว่าการละเมิดลิขสิทธ์โดยฉพาะผู้ประกอบการ อิสระ SME ไปจนถึง สถานประกอบการณ์ จะหนักไปทางซอฟต์แวร์ ปี 2560 ระบุว่าประเทศไทยละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ สูง ถึง 66% เป็นอันดับที่ 3 ของเอเซียแปซิฟิก (thaipublica) ในปี 2560 อัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ฯ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อยู่ที่ 57% คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 16,439 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 61% ในปี 2558
สำหรับในประเทศไทย อัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ อยู่ที่ 66% ในปี 2560 คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 714 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 69% ในปี 2558 ตัวเลขในประเทศไทยแสดงให้เห็นว่า ในจำนวนคอมพิวเตอร์ 100 เครื่อง มีการติดตั้งซอฟต์แวร์เถื่อน 66 เครื่อง
ข่าวจากหนังสือพิมพ์(ประชาชาติ)สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ประกาศการประเมินสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยในฐานะคู่ค้าตามกฎหมายการค้าสหรัฐ มาตรา 301 พิเศษ ให้อยู่ในกลุ่มบัญชีจับตาธรรมดา (Watch List : WL) จากก่อนนี้ที่อยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List-PWL) เนื่องจากปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ที่ลดลง
ผลกระทบจากการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์
1. การจ้างงานจากต่างประเทศ จะมองว่า เป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เพราะผู้ประกอบการไทย ใช้ซอฟต์แวร์ Crack ไม่มีค่าใช้จ่าย เช่นซอฟต์แวร์ออกแบบเขียนแบบ ซอฟต์แวร์ 3D
2. เมื่อใช้ ซอฟต์แวร์ crack เพื่อปลดล๊อก วันหมดอายุ หรือ เพื่อใส่ ไลเซนต์คีย์ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการ crack จะนำพาไวรัส หรือ มัลแวร์ เข้ามาสร้างความเสียหายกับข้อมูล เช่น มีการ เข้ารหัสเรียกค่าไถ่ ข้อมูลที่ไม่สามารถเข้าไปใช้งานได้
3. ต้นทุนจะสูงขึ้น เมื่อถูกจับ และปรับ
4. เมื่อเป็นประเทศจับตามอง
ประเมินว่าจากนี้ปัญหาจะลดลงเรื่อย ๆ จากเทรนด์เทคโนโลยีที่เน้นการใช้ซอฟต์แวร์ผ่านระบบคลาวด์ ซึ่งทำให้เจ้าของสิทธิ์ตรวจสอบง่าย ขณะที่ซอฟต์แวร์ในรูปแบบเดิมค่อย ๆ ทยอยหยุดการอัพเกรด
ข่าวจากหนังสือพิมพ์(ประชาชาติ)“ประเทศจีนการละเมิดลิขสิทธิ์เกือบ 100% แต่พอมาใช้โมบายและคลาวด์ อัตราการละเมิดสิทธิ์ลดลงเร็วกว่าไทยมาก โดยคาดว่าไทยอาจใช้เวลาประมาณ 20 ปี เพราะประเมินว่ากว่าครึ่งของบริษัทในไทยยังมีการละเมิดสิทธิ์ซอฟต์แวร์ และหลายองค์กรยังไม่เปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีคลาวด์ บั่นทอนศักยภาพการแข่งขัน ทั้งที่มีผลวิจัยระบุว่า ถ้า 10% ขององค์กรใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย จะดัน GDP ประเทศเพิ่มได้ 1%”
ปัญหานี้จะลดลงถ้า
- ทุกคนหันมาใช้โอเพนซอร์สซอฟต์แวร์ ที่หมายถึง ซอฟต์แวร์เปิดเผย code สามารถนำไปต่อยอดใช้งานได้ เช่น LibreOffice, OpenOffice ด้านกราฟฟิกเช่น GIMP, Inkscap, งาน 3D เช่น Blender ระบบปฏิบัติการเช่น Linux Desktop
- ใช้ฟ้อนต์ที่สามารถนำไปใช้งานได้เสรี จาก https://fonts.google.com/
- เพลงประกอบการใช้งานต่าง ๆ ใชเพลงจาก https://www.youtube.com/audiolibrary/music?nv=1
- ภาพประกอบต่าง ๆ ที่อยู่ภายให้ CC หรือ ครีเอทีฟคอมมอน เช่น open clip art http://clipart-library.com/openclipart.html
- คลังภาพไืทยจาก โครงการคลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด https://oer.learn.in.th/
วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2562
Software Freedom Day 2019
ซอฟต์แวร์ฟรีด้อมเดย์ เป็นวันที่ทั่วโลก เฉลิมฉลอง ให้กับ โลกของซอฟต์แวร์เสรีและโอเพนซอร์สซอฟต์แวร์ เป้าหมายก็คือการให้ความรู้แก่สาธารณชนทั่วโลกเกี่ยวกับประโยชน์ของการใช้ ซอฟต์แวร์เสรีและโอเพนซอร์สซอฟต์แวร์ โดยปีนี้จะจัดพร้อมกัน วันเสาร์ที่ 21 กันยายน หรือเสาร์ของสัปดาห์ที่สามของทุกปี
วัตถุประสงค์ที่เกิดวันนี้ขึ้น
- เพื่อนึกถึงคนที่อยู่เบื้องหลังซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส
- เพื่อส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับซอฟต์แวร์เสรีและสนับสนุนให้มีการใช้มาตรฐานเปิด
- เพื่อสร้างการเข้าถึงโอกาสที่เท่าเทียมกันจาการใช้เทคโนโลยีแบบมีส่วนร่วม
ซอฟต์แวร์เสรีคืออะไร?
ซอฟต์แวร์เสรีเป็นซอฟต์แวร์ที่ให้อิสระแก่ผู้ใช้ในการแบ่งปันศึกษาและแก้ไข เราเรียกว่าซอฟต์แวร์เสรี ซอฟต์แวร์เสรีเป็นทางเลือกใรการเข้าถึงสารสนเทศอย่างเท่าเทียม เพื่อ การเรียนรู้ และแบ่งปันกับคนอื่น
องค์กรที่อยู่เบื้องหลัง SFD
มูลนิธิ Digital freedom ได้ก่อตั้งในปี 2547 เพื่อทำกิจกรรมส่งเสริมซอฟต์แวร์เสรีที่ชื่อว่างานซอฟต์แวร์ฟรีด้อมเดย์ ปัจจุบัน ได้ดำเนินการส่งเสริมกิจกรรม Document Freedom Day
เรื่องราวของซอฟต์แวร์ฟรีด้อมเดย์
ในปัจจุบันชีวิตของเราพึงพาเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้เราต้องพิจารณาถึงผลกระทบของเทคโนโลยีที่มีต่อชีวิตของมนุษย์ และเพื่อให้มั่นใจว่าเทคโนโลยีไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อ สร้างข้อจำกัดในด้านโอกาสในการสร้างนวัตกรรม และเสรีภาพ
เทคโนโลยีที่โปรงใสซึ่งหมายถึงซอฟต์แวร์บางตัวที่สามารถเข้าถึงซอร์สโค้ดเช่นซอฟต์แวร์เสรีและโอเพนซอร์ส (FOSS) ทำให้เรามั่นใจได้ว่าสามารถรู้ หรือ ตรวจสอบสิ่งที่ซอฟต์แวร์ทำ เช่น การที่ซอฟต์แวร์ฝังสปายแวร์เอาไว้ แต่ จะไม่สามารถทำได้กับซอฟต์แวร์ระบบเปิด หรือ ที่เรียกว่า โอเพนซอร์ส เพราะจะต้องเปิดเผยซอร์สโค้ดสู่สาธารณะ การที่ซอฟต์แวร์ระบบปิดที่ถือกรรมสิทธิ์จากผู้ผลิตจะทำให้เราไม่สามารถตรวจสอบซอร์สโค๊ดได้เลย
เมื่อประเทศยากจนกำลังพัฒนาต้องการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร หรือใช้เทคโนโลยี พวกเขาจะต้องมีต้นทุนที่ไม่ต้องละเมิดลิขสิทธิ์ ทางเลือกที่ทำได้อย่างน่าภูมิใจเมื่อชุมชนชาวโอเพนซอร์สจากหลายแห่งทั่วโลก กำลังลงมือสร้างสรรค์ผลงานและแจกจ่ายให้ ชุมชนช่วยกันแก้ไข ดัดแปลง แปลงชุดคำสั่งให้รองรับภาษาท้องถิ่น ตั้งแต่ระบบปฏิบัติการ จน ถึงซอฟต์แวร์แอปพลิเคชั่น สำนักงาน ตลอดจน มาจรฐานเปิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น mp4 pdf .ODT ODP openAI รวมถึงระบบปฏิบัติการ android , ios Cryptocurrency ที่มีพื้นฐานมาจาก ซอฟต์แวร์ฟรีด้อม และ open Source ทั้งนั้น
ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่เป็นโอเพนซอร์สย่อมที่จะต้อง โอเพนซอร์สต่อไปตามเงื่อนไขระเบียบวิธีที่ตกลงกัน
ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่เป็นโอเพนซอร์สย่อมที่จะต้อง โอเพนซอร์สต่อไปตามเงื่อนไขระเบียบวิธีที่ตกลงกัน
วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2562
Deepfake ปัญหาการปลอมภาพหรือวีดีโอเหมือนจริง
โลกของเราต้องรับมือกับ Deepfake การสร้างภาพปลอมหรือวิดีโอปลอมที่ทำได้เหมือนจริงมากๆ
[1]Deepfake เป็นงานวิจัยหนึ่งชื่อ computer Vision ในสาขา วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ โดยพื้นฐานนั้นมาจากการนำเอาปัญญาประดิษฐ์มาประมวลผลภาพด้วยคอมพิวเตอร์ โดยนำภาพจากวีดีโอ แยกออกมาเป็นเฟรม แล้ว จากนั้นให้ปัญญาประดิษฐ์ นำเอาภาพที่มีความคล้ายคลึงกันในแต่ละอริยบท มาทำการ ทดแทนลงไป โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะสั่งเคราะห์รูปร่างของปากให้ตรงกับเสียง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ การตัดต่อเสียงและมีภาพประกอบมีความสมจริงมากขึ้น
[1]Deepfake เกิดขึ้นเมื่อประมาณปลายปี 2560 โดยผู้ที่ใช้ reddit เป็น Social Media เขาใช้นามแฝงว่า Deepfakes ได้ออกมาเปิดเผยว่าเขาได้ทำการเผยแพร่วิดีโอที่เกี่ยวข้องกับใบหน้าของ คนดัง ที่ถูกเปลี่ยนไปเป็นร่างของนักแสดงหญิง ในวีดีโอลามก และก็มีวีดีโอ หลายเรื่องที่เขาใช้ใบหน้าของนิโคลัสเครส มาตัดต่อลงในวีดีโอของเขา
ในทางการเมือง อาจถูกนำมาใช้เพื่อบิดเบือนความจริง โดยอาจจะทำการตัดต่อเสียงพูดและให้คอมพิวเตอร์วิเคราะห์ใบหน้าและปากให้ตรงกับ เสียงพูดใหม่ที่ตัดต่อมาแล้ว
[2]หน่วยวิจัยขั้นสูงกระทรวงกลาโหมของโซเวียต(DARPA)ไม่นิ่งนอนใจ ในเรื่องนี้ออกมารับเป็นเจ้าภาพในเรื่อง ที่จะสร้างเครื่องมือตรวจจับ Deepfake แล้วทำการควบคุมเพื่อไม่ให้ ข่าวปลอม ที่สร้างจาก Deepfake นั้นถูกเผยแพร่ ออกไป
ในประเทศไทยเอง เห็นมีรายงานข่างว่า รัฐมนตรี กระทรวง DE จะเอาจริงเอาจังกับเรื่องของข่าวปลอม ซึ่งปัจจุบันข่าวปลอมในบ้านเรามักจะเอามาจากข่าวจริงนิดหนึงแล้วบิดเบือน หรือ มาจากการปล่อยข่าว หรือ มีคลิปเสียงออกมาแค่นั้น ยังไม่ค่อยมีการนำวิธีการนี้มาใช้
แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงเพราะเครื่องมือที่นำมาใช้เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สซึ่งจะไม่ขอบอกว่าเป็นซอฟต์แวร์อะไร หากมีใครเอามาสร้างข่าวปลอม กระทรวง DE จะรับมือเรืองนี้อย่างไร ต่อไปนี้ ข่าวปลอมคงไม่ใช่แค่ทำเว็บ หรือ ตัดต่อภาพนิ่งอย่างเดียวอีกต่อไป
อ้างอิง
[1] https://en.wikipedia.org/wiki/Deepfake
[2] https://www.nextgov.com/emerging-tech/2019/08/darpa-taking-deepfake-problem/158980/
วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2562
Facebook กำลังทำการทดลอง ถอดรหัสคลื่นสมอง ออกมาเป็นข้อความ
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อโลกในอนาคตอันใกล้นี้มนุษย์จะสามารถถอดรหัสคลื่นสมองออกมาเป็นข้อความได้
ข่าวนี้ถูกเปิดเผย มาจาก Facebook ว่า Facebook เองนั้นกำลัง มีโครงการทดลองพิมพ์ข้อความ จากสมอง โดยที่ไม่ต้องทำการผ่าตัดแต่อย่างใด
Facebook ได้ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยหลายแห่งในความพยายามที่จะ วิจัยเรื่องนี้ หนึ่งในนั้นก็คือ University of California. Facebook ได้ทำการร่วมวิจัยเพื่อศึกษาว่าขั้วไฟฟ้าที่อยู่ในสมองสามารถช่วยให้เราเรียนรู้และถอดรหัสคำพูดจากคลื่นสมองแบบ real time หรือไม่
ทุนการศึกษาที่เปิดเผยมาเมื่อวันที่ 27 กรกฏาคมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่านักวิจัยสามารถ เห็นได้ทันทีเป็นข้อความบนหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นวลีของผู้เข้าร่วมวิจัยด้วยการดูกิจกรรมของสมองชุดของคำตอบในการตอบคำถามที่กำหนดเอาไว้ เพื่อศึกษาผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชัก 3 คนด้วยการ สมัครใจ
Facebook เปิดเผยว่าถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาอันยาวนานที่จะศึกษาในเรื่องนี้ ถ้าหากว่าประสบความสำเร็จมันก็จะช่วยทำให้มนุษย์สามารถสื่อสารได้จากสมองเพื่อบอกไปยังสังคมว่าเกิดอะไรขึ้น
สัญญาณของสมองนั้นที่ได้ออกมาเป็นกุญแจสำคัญสำหรับ ช่วยเหลือ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคลมชักส่งข้อความ ซึ่งอาจจะสำเร็จภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
Mark chevillet หัวหน้านักวิจัยของ Facebook Reality Labs กล่าวถึงในการวิจัยเรื่อง Brain computer Interface ได้บอกกับผู้สื่อข่าว CNN Business ว่าการวิจัยในครั้งนี้อาจจะใช้เวลานานกว่า 10 ปี
จุดเริ่มต้นของโครงการนี้
ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2017 ในงาน F8 ซึ่งเป็นงานสำหรับการประชุมวิชาการของนักพัฒนา Facebook ได้ วาดภาพอุปกรณ์ประหลาดชนิดหนึ่งที่จะรับสัญญาณจากสมองและสามารถพิมพ์ข้อความได้ 100 คําต่อนาที
อุปกรณ์ดังกล่าวยังเป็น หนทางอีกยาวไกลสำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่จะทำการเชื่อมต่อ สมองเข้ากับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Brain computer Interface
จากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเกี่ยวกับงานวิจัยของ Facebook แต่ในความเป็นจริงแล้วหลังจากที่พูดบนเวทีจากนั้นอีกหกเดือน Regina Dugan หัวหน้าฝ่ายฮาร์ดแวร์ลับของ Facebook ก็ได้รับงานชิ้นนี้ลงไปในห้องปฏิบัติการของเขาแล้วที่ตะต้องทำให้สำเร็จ
และเมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook ได้กล่าวถึงที่ harvard ว่า เขากำลังจะมีการปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มและการคำนวณบางอย่างให้มีความสัมคัญกับผู้คนมากขึ้น
การฝัง Electrodes บนสมองของผู้ป่วย
การวิจัยในครั้งนี้ ดูหนังออนไลน์ได้รับอาสาสมัครผู้ป่วย โรคลมชักที่อยู่ที่โรงพยาบาล 3 คน ด้วยการติดตั้ง เครื่องมือชนิดนี้และ รายการ ยิงคำถามถามผู้ป่วย จากนั้นก็จะติดตามคลื่นสมองโดยใช้หลักการวิเคราะห์ด้วย Machine Learning อัลกอริทึม โดยให้ คอมพิวเตอร์เลือกคำตอบที่เตรียมเอาไว้ 24 คำตอบ
การแปลสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองออกมาเป็นคำพูดนั้นยาก แต่ถ้าหากว่าประสบความสำเร็จ ผลลัพธ์ที่ได้มันจะทำให้ช่วยผู้คนที่สูญเสียความสามารถในการพูดได้อีกมาก
แหล่งที่มา CNN-Business July 30, 2019
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
ภาคธุรกิจในสหรัฐอเมริกาคิดอย่างไรกับการศึกษาออนไลน์
จาก 1994-1998 จำนวนหลักสูตรปริญญาการศึกษาทางไกลในวิทยาลัยสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเป็น 72 เปอร์เซ็นต์ ระยะเวลา การศึกษา การลงทะเบียน อัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 7 ต่อปีและประมาณการชี้ให้เห็นว่า บริษัท สหรัฐใช้เวลามากที่สุด ที่ 18 พันล้านดอลลาร์ ในการใช้ ไอที สำหรับการศึกษาออนไลน์ในปี
2009-2010 จำนวนนักเรียนที่ใช้เวลาในการ เรียนออนไลน์ที่ขยายตัวร้อยละ 10 เมื่อสี่ปีที่แล้ว 14 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนระดับอุดมศึกษาทั้งหมดได้รับปริญญาออนไลน์เพียงอย่างเดียว แนวโน้มและจำนวนการลงทะเบียนออนไลน์เหล่านี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เมื่อวิทยาลัยและภาคธุรกิจขยายการใช้อีเลิร์นนิง ดังนั้นจึงมีความสำคัญมาก
ในการหาวิธีที่ประหยัดต้นทุนในการการเรียนการสอนและการฝึกอบรมที่จะตอบสนองความต้องการของนักเรียนและธุรกิจ อย่างไรก็ตามมีการตั้งคำถามบางอย่างเกี่ยวกับคุณภาพของการศึกษาออนไลน์ ธุรกิจและอาจารย์วิทยาลัยรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการเปลี่ยนจากหลักสูตรปริญญาตรีเป็นหลักสูตรออนไลน์ และด้วยโอกาสที่เพิ่มขึ้นในการรับปริญญาออนไลน์และโปรแกรมที่ปรับปรุงแล้วโปรแกรมออนไลน์ดูเหมือนกับโปรแกรมดั้งเดิมเมื่อพยายามหางานหรือไม่
ลองพิจารณาเหตุผลต่อไปนี้ที่นายจ้างระบุว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ชอบจ้างผู้สมัครที่มีปริญญาออนไลน์
เหตุผลทั่วไปที่นายจ้างระบุว่าทำไมพวกเขาถึงจ้างผู้สมัครที่มีปริญญาออนไลน์นั้นมีความหลากหลาย
ในสภาพแวดล้อมทางวิชาการโปรแกรมการเรียนทางไกลโดยทั่วไปจะให้บริการประชากรนอกวิทยาเขต หลักสูตรเหล่านี้นำเสนอการเข้าถึงให้กับนักเรียนที่ไม่สามารถเข้าร่วมหลักสูตรแบบดั้งเดิมเนื่องจากเหตุผลเช่นการจ้างงานตามข้อผูกพันในครอบครัวระยะทางและค่าใช้จ่าย[6] ลองดูการรับรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการศึกษาออนไลน์ นักเรียนออนไลน์เจ็ดสิบสามเปอร์เซ็นต์กล่าวว่าเป้าหมายด้านอาชีพและการจ้างงานเป็นแรงจูงใจที่สำคัญสำหรับการเข้าชั้นเรียนออนไลน์ ร้อยละสามสิบห้าของนักเรียนที่เรียนหลักสูตรกำลังเปลี่ยนงานโดยร้อยละ 30 ของกลุ่มสมัครเรียนเพื่อรับข้อมูลประจำตัวบางประเภทในสาขาการทำงานปัจจุบันของพวกเขา[8]. ศิษย์เก่าวิทยาลัยเจ็ดสิบหกเปอร์เซ็นต์คิดว่าการศึกษาออนไลน์ดีกว่าหรือเท่ากับการศึกษาในมหาวิทยาลัยและนายจ้างห้าเปอร์เซ็นต์เห็นด้วย เจ็ดสิบสามเปอร์เซ็นต์ของโรงเรียนกล่าวว่าพวกเขาได้รับการเสนอโปรแกรมการศึกษาออนไลน์ใหม่เป็นโอกาสในการเติบโตที่จะเพิ่มการลงทะเบียนเรียนโดยรวม[8] นอกจากนี้ร้อยละ 99 ของผู้บริหารโปรแกรมการศึกษาออนไลน์ยืนยันว่ามีความต้องการเพิ่มขึ้นหรืออยู่เหมือนกันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่มีร้อยละ 40 ของผู้ตอบแบบสำรวจบอกว่าพวกเขาได้รับการเพิ่มงบประมาณการเรียนการสอนออนไลน์ของพวกเขาสำหรับปีถัดไป[8]
ทัศนคติของผู้สอนและสถาบันดูเหมือนจะส่งผลต่อความสำเร็จและคุณภาพของโปรแกรมออนไลน์ ในปี 2006 เนย์และ Newvine รายงานในการศึกษาเปรียบเทียบทัศนคติของอาจารย์ผู้สอนเกี่ยวกับการศึกษาทางไกลอาจารย์ก็เต็มใจที่จะสอนเรียนออนไลน์ แต่รู้สึกว่ามีคุณภาพต่ำกว่าการเรียนแบบดั้งเดิมสอนในมหาวิทยาลัย[9] คณะอาจจะลังเลที่จะย้ายไปศึกษาออนไลน์เพราะกลัวการเปลี่ยนแปลงความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยีปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและความสงสัยทั่วไปเกี่ยวกับผลงานของนักเรียน[10] ผู้สอนที่ชื่นชอบการเรียนรู้ออนไลน์นั้นเป็นคนที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีมาก[9]. การวิจัยเพิ่มเติมแสดงให้เห็นว่าร้อยละ 70 ของอาจารย์ออนไลน์ที่สำรวจทั่วสหรัฐอเมริกาเชื่อว่าผลลัพธ์การเรียนรู้สำหรับนักเรียนในชั้นเรียนออนไลน์นั้นด้อยกว่าผลลัพธ์ที่ได้รับจากนักเรียนในชั้นเรียนแบบดั้งเดิมและ 26 เปอร์เซ็นต์ของคณะและ 67 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหาร ที่ผลการเรียนรู้ในหลักสูตรออนไลน์เท่ากับน้อยที่จะเผชิญเพื่อใบหน้าหลักสูตร[10] แม้จะมีบางส่วนของเหล่าคณาจารย์ทัศนคติเชิงลบอัตราการเติบโตของการเรียนออนไลน์ได้เกินการลงทะเบียนแบบดั้งเดิมที่มีจำนวนนักเรียนออนไลน์ลงทะเบียนเรียนในโปรแกรมออนไลน์ที่สิบสี่เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดที่ลงทะเบียนเรียนที่วิทยาลัยทั้งหมด[11]
ในปี 2546 หัวหน้าฝ่ายวิชาการจัดอันดับผลการเรียนรู้ออนไลน์เมื่อเทียบกับหลักสูตรแบบตัวต่อตัวที่ 57 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2013 อัตราการเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 74 [11] เจ้าหน้าที่วิชาการรู้สึกว่าคณาจารย์ยอมรับคุณภาพของโปรแกรมออนไลน์ที่ร้อยละ 60 ในทางตรงกันข้ามเพียงร้อยละ 11 ของเจ้าหน้าที่วิชาการในสถาบันที่มีขนาดเล็กหรือไม่มีโปรแกรมการเรียนทางไกลรู้สึกคณะของพวกเขายอมรับความชอบธรรมของการศึกษาออนไลน์[11]
โรงเรียนที่มีการลงทะเบียนการศึกษาทางไกลเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับคุณภาพของโปรแกรม เมื่อผู้นำสถาบันถูกถามว่าทัศนคติของอาจารย์นำเสนออุปสรรคต่อการเติบโตของโปรแกรมหรือไม่หนึ่งในสามเห็นด้วยว่า ในการศึกษาระดับชาติที่ตีพิมพ์ในปี 2004 Adams และ DeFleur พบว่าคณบดีเจ็ดเปอร์เซ็นต์ที่รับผิดชอบในการสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษานั้นไม่เต็มใจที่จะรับนักเรียนที่จบปริญญาตรีทางออนไลน์ ในการศึกษาอื่นที่เกี่ยวข้องในระดับ Likert ถูกใช้ในการตรวจสอบว่าผู้สมัครคณะมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะได้รับการว่าจ้างถ้าพวกเขามีการศึกษาระดับปริญญาเอกออนไลน์แบบเต็มเวลาติดตามการดำรงตำแหน่งของตำแหน่ง[12] ผลการวิจัยสรุปว่าผู้สมัครระดับปริญญามีแนวโน้มที่จะได้รับการว่าจ้าง
การรับรู้ขององค์กรของโปรแกรมออนไลน์
การสลับเปลี่ยนเกียร์เพื่อโลกธุรกิจในอุตสาหกรรมยาร้อยละ 87 ของผู้ตอบแบบสอบถามในการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการชี้ให้เห็นความเชื่อที่ว่ามีความแตกต่างระหว่างปริญญาออนไลน์และแบบดั้งเดิมเมื่อพิจารณาผู้สมัครสำหรับการจ้างงาน[5] ในการวิจัยที่ดำเนินการโดย Adams และ DeFleur ผู้จัดการการจ้างงานแบบหลายสาขามีทางเลือกในการเลือกผู้สมัครตามสมมุติฐานด้วยปริญญาออนไลน์หรือแบบดั้งเดิม ร้อยละเก้าสิบแปดของนายจ้างที่สำรวจต้องการระดับดั้งเดิม[13]. มีการวิจัยน้อยมากเกี่ยวกับการยอมรับปริญญาออนไลน์ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาเพื่อตรวจสอบว่าการรับรู้มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ในปี 2009 การสำรวจของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ได้ข้อสรุปว่ามีการรับรู้เชิงลบขององศาออนไลน์ นายหน้าบางคนกล่าวหาว่าการประกาศเกียรติคุณของโรงสีออนไลน์นั้นเป็นการสร้างภาพลักษณ์เชิงลบ[6]. มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ที่สำรวจระบุว่าหากผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเท่าเทียมกันสมัครงานก็จะไม่สร้างความแตกต่างหากได้รับปริญญาของผู้สมัครผ่านโปรแกรมออนไลน์หรือดั้งเดิม ร้อยละเจ็ดสิบเก้ากล่าวว่าพวกเขาจ้างผู้สมัครที่มีปริญญาออนไลน์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ร้อยละ 66 ของผู้บริหารเหล่านี้เพิ่มอย่างไรว่าผู้สมัครที่ได้รับองศาออนไลน์ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นในเกณฑ์ดีเป็นผู้สมัครงานที่มีองศาแบบดั้งเดิม[3] รายงานอื่น ๆ แนะนำว่าหากพนักงานทำงานให้กับองค์กรแล้วหรือไม่การเรียนจนจบปริญญาออนไลน์นั้นไม่ได้ดูไม่น่าพอใจ[5]. ในการศึกษาที่แตกต่างพบว่าผู้สมัครงานมีโอกาสน้อยกว่า 22 เปอร์เซ็นต์ที่จะได้รับการติดต่อกลับจากนายจ้างหากพวกเขามีออนไลน์ปริญญาตรีธุรกิจที่แสวงหาผลกำไรที่ระบุไว้ในประวัติย่อของพวกเขามากกว่าถ้าพวกเขาไม่ได้ระบุแบบดั้งเดิมหรือออนไลน์[7] . แท้จริงแล้วคำตอบที่หลากหลายในสถาบันการศึกษาและการจ้างงานขององค์กร
ตามที่กล่าวไว้ความต้องการใช้โปรแกรมการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับอาชีพออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมาก วิทยาลัยจะต้องเสนอโปรแกรมใหม่ที่เพิ่มการลงทะเบียนและตอบสนองความต้องการทางธุรกิจ แม้ว่าคณะบริหารธุรกิจและวิทยาลัยเชื่อว่าคณะรับรู้การศึกษาออนไลน์ในเชิงบวกตัวเลขยังคงหมายถึงการยกย่องว่ามีคุณภาพไม่สูงเท่ากับหลักสูตรแบบตัวต่อตัว นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสนใจว่าโรงเรียนที่มีโปรแกรมที่ประสบความสำเร็จและมีขนาดใหญ่มองว่ามีคุณภาพสูงกว่าโรงเรียนที่มีขนาดเล็กหรือไม่มีโปรแกรมออนไลน์[11]. เนื่องจากงบประมาณและเงินทุนการศึกษาหมดลงความขัดแย้งระหว่างความจำเป็นในการขยายการเขียนโปรแกรมออนไลน์เพื่อเพิ่มการลงทะเบียนและเพิ่มความพร้อมของหลักสูตรเมื่อเทียบกับโปรแกรมที่ลดลงเนื่องจากการรับรู้ว่าโปรแกรมออนไลน์มีคุณภาพและคุณค่าน้อยกว่า พยายามจัดลำดับความสำคัญใหม่ แม้ว่าวิทยาลัยได้ระบุการเรียนรู้ออนไลน์เป็นความจำเป็นในเชิงกลยุทธ์และสถิติพิสูจน์ว่าการเติบโตที่เกิดขึ้นแม้ว่าการลงทะเบียนโปรแกรมแบบดั้งเดิมจะลดลงวิทยาลัยได้กระทำการวางแผนน้อยที่สุดเท่าที่พวกเขาใช้โปรแกรมออนไลน์[14] การวิจัยที่ จำกัด ในช่วงสิบห้าปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่ามีเพียงประมาณร้อยละ 30 ของวิทยาลัยที่ได้ทำการวางแผนอย่างเป็นทางการสำหรับโปรแกรมออนไลน์[3]. หลักสูตรออนไลน์ได้รับการสอนมานานหลายทศวรรษ แต่มีการศึกษาเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการใช้งานโปรแกรมออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ ด้วยการระบุโดยการบริหารที่คณะการรับรู้ของคุณภาพออนไลน์เป็นอุปสรรคการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมก็จะต้องเกิดขึ้น สถาบันจะต้องจัดโปรแกรมการฝึกอบรมและมีส่วนร่วมกับคณาจารย์ออนไลน์ในงบประมาณเชิงกลยุทธ์และการวางแผนหลักสูตรซึ่งจะเปลี่ยนการรับรู้เกี่ยวกับคุณภาพและคุณค่าที่หลักสูตรออนไลน์สามารถให้ได้
การสอนออนไลน์กำหนดความท้าทายบางประการสำหรับการบริหารและคณะ การออกแบบและพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ต้องทำงานร่วมกันระหว่างหลายกลุ่มของคนที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในพื้นที่ที่แตกต่างกันของการบริหารเทคโนโลยีและการเรียนการสอน[15] ความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของหลักสูตรออนไลน์อาจขัดขวางไม่ให้อาจารย์ต้องการมีส่วนร่วมในการวางแผนหรือพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ การช่วยเหลือคณะยอมรับวิธีการจัดส่งออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากสถาบันต่างๆรวมการเรียนรู้ออนไลน์ไว้ในการวางแผนกลยุทธ์และอนาคต ผู้ดูแลระบบจะต้องเข้าใจว่าอาจารย์รับรู้และรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการสอนออนไลน์เพื่อพัฒนาความคิดริเริ่มคุณภาพออนไลน์[10]. การฝึกอบรมเพื่อให้แน่ใจว่าการส่งมอบนักเรียนที่มีประสิทธิภาพและผลลัพธ์ของโปรแกรมจำเป็นต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับการสอนเทคโนโลยีและการออกแบบ การฝึกอบรมครูผู้สอนเกี่ยวกับวิธีการใช้งานและการใช้เทคโนโลยีในโปรแกรมยังเป็นวิธีที่จะผลักดันการเปลี่ยนแปลงขององค์กรโดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมเพิ่มเติมย้ายออนไลน์[14] ในฐานะที่เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนมากขึ้นมีการออนไลน์คณาจารย์อื่น ๆ จะสอนหลักสูตรออนไลน์[12] การสอนแบบออนไลน์นี้จะลดทัศนคติเชิงลบเกี่ยวกับองศาออนไลน์ในที่สุดเพราะการศึกษาออนไลน์จะกลายเป็นมาตรฐาน รายงานที่จัดทำโดยดอกไม้และ Baltzer ในปี 2006 พบว่าผู้สมัครคณะที่มีองศาออนไลน์มีแนวโน้มที่จะได้รับการพิจารณาโดยผู้ดูแลระบบที่ยังได้รับปริญญาเอกของพวกเขาจากโปรแกรมออนไลน์[12]
ข้อสรุป
ดังนั้นคุณภาพของการศึกษาระดับปริญญาออนไลน์ซ้อนกันในโลกธุรกิจได้อย่างไร ปัจจัยหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นประเภทของอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการร้านขายยาได้ระบุว่าเมื่อทำการประเมินผู้สมัครมีความแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างคุณภาพของปริญญาออนไลน์หรือดั้งเดิม ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์มีแนวโน้มที่จะเป็นลบและระมัดระวังมากขึ้น หากผู้สมัครทำงานที่ บริษัท แล้วระดับนั้นถือว่าเป็นการพัฒนาทักษะของพวกเขาซึ่งนำไปสู่โอกาสที่ดีกว่าในการได้รับการว่าจ้างหรือเลื่อนตำแหน่ง หากผู้สมัครเป็นผู้สมัครภายนอกระดับดั้งเดิมก็ดูดีกว่า ปัจจัยอีกประการหนึ่งคือหากอุตสาหกรรมเป็นส่วนตัวใหญ่หรือเล็กและไม่หวังผลกำไร ขนาดของกลุ่มผู้สมัครสำหรับแต่ละ บริษัท อาจเป็นสาเหตุที่เป็นไปได้[13] และผู้จัดการการจ้างงานมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะยอมรับการศึกษาระดับปริญญาออนไลน์ถ้าสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงที่ดี[6]
สถิติและการศึกษาที่มีอยู่แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มที่มีต่อการยอมรับปริญญาออนไลน์มีการเปลี่ยนแปลง ระดับของการกำหนดหรือการพัฒนาของอิทธิพลโปรแกรมระยะสิ่งที่ปัญหาและอุปสรรคที่มีการรับรู้โดยคณาจารย์และการบริหาร[16] ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณภาพของหลักสูตรออนไลน์อาจขัดขวางคณะจากการมีส่วนร่วมในการวางแผนการพัฒนาและการสอนหลักสูตรออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเปลี่ยนแปลงการรับรู้คุณภาพ[2]. เทคโนโลยีเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของโปรแกรมออนไลน์และคุณภาพของวิธีการพัฒนาหลักสูตรที่จัดทำโดยอาจารย์ผู้สอน การวิจัยสนับสนุนว่าอาจารย์จะรู้สึกสบายใจเมื่อพวกเขาคุ้นเคยกับเทคโนโลยีและได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับวิธีการสอนออนไลน์ แต่การฝึกอบรมสำหรับอาจารย์ออนไลน์นั้นแตกต่างกันไปตามสถาบันสถานะเต็มเวลาหรือนอกเวลาและตามประเภทโปรแกรม ดูเหมือนว่าจะลงมาสู่โลกแห่งความเคยชินและไม่มีอะไรมากเท่าที่โปรแกรมออนไลน์ดำเนินต่อไป วิทยาลัยที่มีโปรแกรมขนาดใหญ่มองว่าเป็นพื้นที่ที่ควรเติบโตในขณะที่วิทยาลัยที่ต้องดิ้นรนเพื่อการลงทะเบียนและเงินทุนดูการศึกษาออนไลน์เป็นพื้นที่ที่พวกเขาสามารถประหยัดเงินได้ ไม่ต้องคาดเดามากนักว่าถ้าสถาบันไม่มีชื่อเสียงทางออนไลน์ที่แข็งแกร่ง
การศึกษาออนไลน์ให้นักเรียนที่ไม่ได้อยู่ในวิทยาลัยนักเรียนที่ทำงานหรือไม่เป็นแบบดั้งเดิมโอกาสที่จะได้รับปริญญาและพัฒนาทักษะ มันมีวิธีการเพิ่มการลงทะเบียนวิทยาลัย โปรดจำไว้ว่าร้อยละ 74 ของโรงเรียนบอกว่าพวกเขากำลังเสนอโปรแกรมการศึกษาออนไลน์ใหม่เป็นโอกาสสำหรับการเติบโตเพื่อเพิ่มการลงทะเบียนนักเรียนโดยรวม[8]. การได้รับปริญญาไม่ว่าจะออนไลน์หรือดั้งเดิมเป็นตั๋วสู่ความสำเร็จในอนาคต ผู้สมัครงานไม่จำเป็นต้องเปิดเผยว่าได้รับปริญญาออนไลน์ มีการยอมรับการรับรู้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเมื่อคุณภาพของโปรแกรมดีขึ้น เมื่อเทคโนโลยีกลายเป็นสิ่งจำเป็นก่อนการปฏิบัติงานและเมื่อผู้คนเข้าใจถึงความสำคัญของเทคโนโลยีในสถานที่ทำงานความเป็นจริงของการศึกษาออนไลน์ในฐานะสื่อกลางการฝึกอบรมที่มีอยู่จะอยู่ที่นี่ นอกจากนี้เมื่อผู้สอนวิทยาลัยได้รับการฝึกฝนให้ใช้เทคนิคการเรียนรู้ร่วมกันที่ดีขึ้นสำหรับนักเรียนในโครงการและชื่อเสียงของโปรแกรมเหล่านี้มีการแบ่งปันผู้จัดการฝ่ายการจ้างงานจะพิจารณาโปรแกรมออนไลน์ที่มีสิทธิรับรองอย่างต่อเนื่องเท่ากันและการพิจารณาว่า สิ่งที่ผ่านมา
2009-2010 จำนวนนักเรียนที่ใช้เวลาในการ เรียนออนไลน์ที่ขยายตัวร้อยละ 10 เมื่อสี่ปีที่แล้ว 14 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนระดับอุดมศึกษาทั้งหมดได้รับปริญญาออนไลน์เพียงอย่างเดียว แนวโน้มและจำนวนการลงทะเบียนออนไลน์เหล่านี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เมื่อวิทยาลัยและภาคธุรกิจขยายการใช้อีเลิร์นนิง ดังนั้นจึงมีความสำคัญมาก
ในการหาวิธีที่ประหยัดต้นทุนในการการเรียนการสอนและการฝึกอบรมที่จะตอบสนองความต้องการของนักเรียนและธุรกิจ อย่างไรก็ตามมีการตั้งคำถามบางอย่างเกี่ยวกับคุณภาพของการศึกษาออนไลน์ ธุรกิจและอาจารย์วิทยาลัยรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการเปลี่ยนจากหลักสูตรปริญญาตรีเป็นหลักสูตรออนไลน์ และด้วยโอกาสที่เพิ่มขึ้นในการรับปริญญาออนไลน์และโปรแกรมที่ปรับปรุงแล้วโปรแกรมออนไลน์ดูเหมือนกับโปรแกรมดั้งเดิมเมื่อพยายามหางานหรือไม่
ลองพิจารณาเหตุผลต่อไปนี้ที่นายจ้างระบุว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ชอบจ้างผู้สมัครที่มีปริญญาออนไลน์
- ลดปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวระหว่างนักเรียนและอาจารย์
- ศักยภาพในการทุจริตทางวิชาการ
- ความถูกต้องตามกฎหมายของประกาศนียบัตร
- ความกังวลเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของนักเรียนหากพวกเขาไม่ได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยในสถานที่จริง
- ขาดความเข้มงวดของโปรแกรม
เหตุผลทั่วไปที่นายจ้างระบุว่าทำไมพวกเขาถึงจ้างผู้สมัครที่มีปริญญาออนไลน์นั้นมีความหลากหลาย
- ชื่อเสียงของสถาบันที่ให้ปริญญา
- ระดับและประเภทของหนังสือรับรองที่เหมาะสม
- นักเรียนออนไลน์มีการรับรู้ว่ามีวินัยในตนเองและกำกับตนเอง
- ทักษะการจัดการเวลาที่ดี
- ประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้อง
- หากผู้สมัครเป็นพนักงานอยู่แล้ว
- จำนวนนักเรียนที่เข้าชั้นเรียนออนไลน์
- การรับรู้ทางวิชาการของโปรแกรมออนไลน์
ในสภาพแวดล้อมทางวิชาการโปรแกรมการเรียนทางไกลโดยทั่วไปจะให้บริการประชากรนอกวิทยาเขต หลักสูตรเหล่านี้นำเสนอการเข้าถึงให้กับนักเรียนที่ไม่สามารถเข้าร่วมหลักสูตรแบบดั้งเดิมเนื่องจากเหตุผลเช่นการจ้างงานตามข้อผูกพันในครอบครัวระยะทางและค่าใช้จ่าย[6] ลองดูการรับรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการศึกษาออนไลน์ นักเรียนออนไลน์เจ็ดสิบสามเปอร์เซ็นต์กล่าวว่าเป้าหมายด้านอาชีพและการจ้างงานเป็นแรงจูงใจที่สำคัญสำหรับการเข้าชั้นเรียนออนไลน์ ร้อยละสามสิบห้าของนักเรียนที่เรียนหลักสูตรกำลังเปลี่ยนงานโดยร้อยละ 30 ของกลุ่มสมัครเรียนเพื่อรับข้อมูลประจำตัวบางประเภทในสาขาการทำงานปัจจุบันของพวกเขา[8]. ศิษย์เก่าวิทยาลัยเจ็ดสิบหกเปอร์เซ็นต์คิดว่าการศึกษาออนไลน์ดีกว่าหรือเท่ากับการศึกษาในมหาวิทยาลัยและนายจ้างห้าเปอร์เซ็นต์เห็นด้วย เจ็ดสิบสามเปอร์เซ็นต์ของโรงเรียนกล่าวว่าพวกเขาได้รับการเสนอโปรแกรมการศึกษาออนไลน์ใหม่เป็นโอกาสในการเติบโตที่จะเพิ่มการลงทะเบียนเรียนโดยรวม[8] นอกจากนี้ร้อยละ 99 ของผู้บริหารโปรแกรมการศึกษาออนไลน์ยืนยันว่ามีความต้องการเพิ่มขึ้นหรืออยู่เหมือนกันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่มีร้อยละ 40 ของผู้ตอบแบบสำรวจบอกว่าพวกเขาได้รับการเพิ่มงบประมาณการเรียนการสอนออนไลน์ของพวกเขาสำหรับปีถัดไป[8]
ทัศนคติของผู้สอนและสถาบันดูเหมือนจะส่งผลต่อความสำเร็จและคุณภาพของโปรแกรมออนไลน์ ในปี 2006 เนย์และ Newvine รายงานในการศึกษาเปรียบเทียบทัศนคติของอาจารย์ผู้สอนเกี่ยวกับการศึกษาทางไกลอาจารย์ก็เต็มใจที่จะสอนเรียนออนไลน์ แต่รู้สึกว่ามีคุณภาพต่ำกว่าการเรียนแบบดั้งเดิมสอนในมหาวิทยาลัย[9] คณะอาจจะลังเลที่จะย้ายไปศึกษาออนไลน์เพราะกลัวการเปลี่ยนแปลงความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยีปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและความสงสัยทั่วไปเกี่ยวกับผลงานของนักเรียน[10] ผู้สอนที่ชื่นชอบการเรียนรู้ออนไลน์นั้นเป็นคนที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีมาก[9]. การวิจัยเพิ่มเติมแสดงให้เห็นว่าร้อยละ 70 ของอาจารย์ออนไลน์ที่สำรวจทั่วสหรัฐอเมริกาเชื่อว่าผลลัพธ์การเรียนรู้สำหรับนักเรียนในชั้นเรียนออนไลน์นั้นด้อยกว่าผลลัพธ์ที่ได้รับจากนักเรียนในชั้นเรียนแบบดั้งเดิมและ 26 เปอร์เซ็นต์ของคณะและ 67 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหาร ที่ผลการเรียนรู้ในหลักสูตรออนไลน์เท่ากับน้อยที่จะเผชิญเพื่อใบหน้าหลักสูตร[10] แม้จะมีบางส่วนของเหล่าคณาจารย์ทัศนคติเชิงลบอัตราการเติบโตของการเรียนออนไลน์ได้เกินการลงทะเบียนแบบดั้งเดิมที่มีจำนวนนักเรียนออนไลน์ลงทะเบียนเรียนในโปรแกรมออนไลน์ที่สิบสี่เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดที่ลงทะเบียนเรียนที่วิทยาลัยทั้งหมด[11]
ในปี 2546 หัวหน้าฝ่ายวิชาการจัดอันดับผลการเรียนรู้ออนไลน์เมื่อเทียบกับหลักสูตรแบบตัวต่อตัวที่ 57 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2013 อัตราการเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 74 [11] เจ้าหน้าที่วิชาการรู้สึกว่าคณาจารย์ยอมรับคุณภาพของโปรแกรมออนไลน์ที่ร้อยละ 60 ในทางตรงกันข้ามเพียงร้อยละ 11 ของเจ้าหน้าที่วิชาการในสถาบันที่มีขนาดเล็กหรือไม่มีโปรแกรมการเรียนทางไกลรู้สึกคณะของพวกเขายอมรับความชอบธรรมของการศึกษาออนไลน์[11]
โรงเรียนที่มีการลงทะเบียนการศึกษาทางไกลเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับคุณภาพของโปรแกรม เมื่อผู้นำสถาบันถูกถามว่าทัศนคติของอาจารย์นำเสนออุปสรรคต่อการเติบโตของโปรแกรมหรือไม่หนึ่งในสามเห็นด้วยว่า ในการศึกษาระดับชาติที่ตีพิมพ์ในปี 2004 Adams และ DeFleur พบว่าคณบดีเจ็ดเปอร์เซ็นต์ที่รับผิดชอบในการสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษานั้นไม่เต็มใจที่จะรับนักเรียนที่จบปริญญาตรีทางออนไลน์ ในการศึกษาอื่นที่เกี่ยวข้องในระดับ Likert ถูกใช้ในการตรวจสอบว่าผู้สมัครคณะมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะได้รับการว่าจ้างถ้าพวกเขามีการศึกษาระดับปริญญาเอกออนไลน์แบบเต็มเวลาติดตามการดำรงตำแหน่งของตำแหน่ง[12] ผลการวิจัยสรุปว่าผู้สมัครระดับปริญญามีแนวโน้มที่จะได้รับการว่าจ้าง
การรับรู้ขององค์กรของโปรแกรมออนไลน์
การสลับเปลี่ยนเกียร์เพื่อโลกธุรกิจในอุตสาหกรรมยาร้อยละ 87 ของผู้ตอบแบบสอบถามในการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการชี้ให้เห็นความเชื่อที่ว่ามีความแตกต่างระหว่างปริญญาออนไลน์และแบบดั้งเดิมเมื่อพิจารณาผู้สมัครสำหรับการจ้างงาน[5] ในการวิจัยที่ดำเนินการโดย Adams และ DeFleur ผู้จัดการการจ้างงานแบบหลายสาขามีทางเลือกในการเลือกผู้สมัครตามสมมุติฐานด้วยปริญญาออนไลน์หรือแบบดั้งเดิม ร้อยละเก้าสิบแปดของนายจ้างที่สำรวจต้องการระดับดั้งเดิม[13]. มีการวิจัยน้อยมากเกี่ยวกับการยอมรับปริญญาออนไลน์ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาเพื่อตรวจสอบว่าการรับรู้มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ในปี 2009 การสำรวจของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ได้ข้อสรุปว่ามีการรับรู้เชิงลบขององศาออนไลน์ นายหน้าบางคนกล่าวหาว่าการประกาศเกียรติคุณของโรงสีออนไลน์นั้นเป็นการสร้างภาพลักษณ์เชิงลบ[6]. มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ที่สำรวจระบุว่าหากผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเท่าเทียมกันสมัครงานก็จะไม่สร้างความแตกต่างหากได้รับปริญญาของผู้สมัครผ่านโปรแกรมออนไลน์หรือดั้งเดิม ร้อยละเจ็ดสิบเก้ากล่าวว่าพวกเขาจ้างผู้สมัครที่มีปริญญาออนไลน์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ร้อยละ 66 ของผู้บริหารเหล่านี้เพิ่มอย่างไรว่าผู้สมัครที่ได้รับองศาออนไลน์ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นในเกณฑ์ดีเป็นผู้สมัครงานที่มีองศาแบบดั้งเดิม[3] รายงานอื่น ๆ แนะนำว่าหากพนักงานทำงานให้กับองค์กรแล้วหรือไม่การเรียนจนจบปริญญาออนไลน์นั้นไม่ได้ดูไม่น่าพอใจ[5]. ในการศึกษาที่แตกต่างพบว่าผู้สมัครงานมีโอกาสน้อยกว่า 22 เปอร์เซ็นต์ที่จะได้รับการติดต่อกลับจากนายจ้างหากพวกเขามีออนไลน์ปริญญาตรีธุรกิจที่แสวงหาผลกำไรที่ระบุไว้ในประวัติย่อของพวกเขามากกว่าถ้าพวกเขาไม่ได้ระบุแบบดั้งเดิมหรือออนไลน์[7] . แท้จริงแล้วคำตอบที่หลากหลายในสถาบันการศึกษาและการจ้างงานขององค์กร
ตามที่กล่าวไว้ความต้องการใช้โปรแกรมการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับอาชีพออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมาก วิทยาลัยจะต้องเสนอโปรแกรมใหม่ที่เพิ่มการลงทะเบียนและตอบสนองความต้องการทางธุรกิจ แม้ว่าคณะบริหารธุรกิจและวิทยาลัยเชื่อว่าคณะรับรู้การศึกษาออนไลน์ในเชิงบวกตัวเลขยังคงหมายถึงการยกย่องว่ามีคุณภาพไม่สูงเท่ากับหลักสูตรแบบตัวต่อตัว นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสนใจว่าโรงเรียนที่มีโปรแกรมที่ประสบความสำเร็จและมีขนาดใหญ่มองว่ามีคุณภาพสูงกว่าโรงเรียนที่มีขนาดเล็กหรือไม่มีโปรแกรมออนไลน์[11]. เนื่องจากงบประมาณและเงินทุนการศึกษาหมดลงความขัดแย้งระหว่างความจำเป็นในการขยายการเขียนโปรแกรมออนไลน์เพื่อเพิ่มการลงทะเบียนและเพิ่มความพร้อมของหลักสูตรเมื่อเทียบกับโปรแกรมที่ลดลงเนื่องจากการรับรู้ว่าโปรแกรมออนไลน์มีคุณภาพและคุณค่าน้อยกว่า พยายามจัดลำดับความสำคัญใหม่ แม้ว่าวิทยาลัยได้ระบุการเรียนรู้ออนไลน์เป็นความจำเป็นในเชิงกลยุทธ์และสถิติพิสูจน์ว่าการเติบโตที่เกิดขึ้นแม้ว่าการลงทะเบียนโปรแกรมแบบดั้งเดิมจะลดลงวิทยาลัยได้กระทำการวางแผนน้อยที่สุดเท่าที่พวกเขาใช้โปรแกรมออนไลน์[14] การวิจัยที่ จำกัด ในช่วงสิบห้าปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่ามีเพียงประมาณร้อยละ 30 ของวิทยาลัยที่ได้ทำการวางแผนอย่างเป็นทางการสำหรับโปรแกรมออนไลน์[3]. หลักสูตรออนไลน์ได้รับการสอนมานานหลายทศวรรษ แต่มีการศึกษาเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการใช้งานโปรแกรมออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ ด้วยการระบุโดยการบริหารที่คณะการรับรู้ของคุณภาพออนไลน์เป็นอุปสรรคการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมก็จะต้องเกิดขึ้น สถาบันจะต้องจัดโปรแกรมการฝึกอบรมและมีส่วนร่วมกับคณาจารย์ออนไลน์ในงบประมาณเชิงกลยุทธ์และการวางแผนหลักสูตรซึ่งจะเปลี่ยนการรับรู้เกี่ยวกับคุณภาพและคุณค่าที่หลักสูตรออนไลน์สามารถให้ได้
การสอนออนไลน์กำหนดความท้าทายบางประการสำหรับการบริหารและคณะ การออกแบบและพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ต้องทำงานร่วมกันระหว่างหลายกลุ่มของคนที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในพื้นที่ที่แตกต่างกันของการบริหารเทคโนโลยีและการเรียนการสอน[15] ความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของหลักสูตรออนไลน์อาจขัดขวางไม่ให้อาจารย์ต้องการมีส่วนร่วมในการวางแผนหรือพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ การช่วยเหลือคณะยอมรับวิธีการจัดส่งออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากสถาบันต่างๆรวมการเรียนรู้ออนไลน์ไว้ในการวางแผนกลยุทธ์และอนาคต ผู้ดูแลระบบจะต้องเข้าใจว่าอาจารย์รับรู้และรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการสอนออนไลน์เพื่อพัฒนาความคิดริเริ่มคุณภาพออนไลน์[10]. การฝึกอบรมเพื่อให้แน่ใจว่าการส่งมอบนักเรียนที่มีประสิทธิภาพและผลลัพธ์ของโปรแกรมจำเป็นต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับการสอนเทคโนโลยีและการออกแบบ การฝึกอบรมครูผู้สอนเกี่ยวกับวิธีการใช้งานและการใช้เทคโนโลยีในโปรแกรมยังเป็นวิธีที่จะผลักดันการเปลี่ยนแปลงขององค์กรโดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมเพิ่มเติมย้ายออนไลน์[14] ในฐานะที่เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนมากขึ้นมีการออนไลน์คณาจารย์อื่น ๆ จะสอนหลักสูตรออนไลน์[12] การสอนแบบออนไลน์นี้จะลดทัศนคติเชิงลบเกี่ยวกับองศาออนไลน์ในที่สุดเพราะการศึกษาออนไลน์จะกลายเป็นมาตรฐาน รายงานที่จัดทำโดยดอกไม้และ Baltzer ในปี 2006 พบว่าผู้สมัครคณะที่มีองศาออนไลน์มีแนวโน้มที่จะได้รับการพิจารณาโดยผู้ดูแลระบบที่ยังได้รับปริญญาเอกของพวกเขาจากโปรแกรมออนไลน์[12]
ข้อสรุป
ดังนั้นคุณภาพของการศึกษาระดับปริญญาออนไลน์ซ้อนกันในโลกธุรกิจได้อย่างไร ปัจจัยหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นประเภทของอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการร้านขายยาได้ระบุว่าเมื่อทำการประเมินผู้สมัครมีความแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างคุณภาพของปริญญาออนไลน์หรือดั้งเดิม ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์มีแนวโน้มที่จะเป็นลบและระมัดระวังมากขึ้น หากผู้สมัครทำงานที่ บริษัท แล้วระดับนั้นถือว่าเป็นการพัฒนาทักษะของพวกเขาซึ่งนำไปสู่โอกาสที่ดีกว่าในการได้รับการว่าจ้างหรือเลื่อนตำแหน่ง หากผู้สมัครเป็นผู้สมัครภายนอกระดับดั้งเดิมก็ดูดีกว่า ปัจจัยอีกประการหนึ่งคือหากอุตสาหกรรมเป็นส่วนตัวใหญ่หรือเล็กและไม่หวังผลกำไร ขนาดของกลุ่มผู้สมัครสำหรับแต่ละ บริษัท อาจเป็นสาเหตุที่เป็นไปได้[13] และผู้จัดการการจ้างงานมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะยอมรับการศึกษาระดับปริญญาออนไลน์ถ้าสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงที่ดี[6]
สถิติและการศึกษาที่มีอยู่แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มที่มีต่อการยอมรับปริญญาออนไลน์มีการเปลี่ยนแปลง ระดับของการกำหนดหรือการพัฒนาของอิทธิพลโปรแกรมระยะสิ่งที่ปัญหาและอุปสรรคที่มีการรับรู้โดยคณาจารย์และการบริหาร[16] ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณภาพของหลักสูตรออนไลน์อาจขัดขวางคณะจากการมีส่วนร่วมในการวางแผนการพัฒนาและการสอนหลักสูตรออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเปลี่ยนแปลงการรับรู้คุณภาพ[2]. เทคโนโลยีเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของโปรแกรมออนไลน์และคุณภาพของวิธีการพัฒนาหลักสูตรที่จัดทำโดยอาจารย์ผู้สอน การวิจัยสนับสนุนว่าอาจารย์จะรู้สึกสบายใจเมื่อพวกเขาคุ้นเคยกับเทคโนโลยีและได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับวิธีการสอนออนไลน์ แต่การฝึกอบรมสำหรับอาจารย์ออนไลน์นั้นแตกต่างกันไปตามสถาบันสถานะเต็มเวลาหรือนอกเวลาและตามประเภทโปรแกรม ดูเหมือนว่าจะลงมาสู่โลกแห่งความเคยชินและไม่มีอะไรมากเท่าที่โปรแกรมออนไลน์ดำเนินต่อไป วิทยาลัยที่มีโปรแกรมขนาดใหญ่มองว่าเป็นพื้นที่ที่ควรเติบโตในขณะที่วิทยาลัยที่ต้องดิ้นรนเพื่อการลงทะเบียนและเงินทุนดูการศึกษาออนไลน์เป็นพื้นที่ที่พวกเขาสามารถประหยัดเงินได้ ไม่ต้องคาดเดามากนักว่าถ้าสถาบันไม่มีชื่อเสียงทางออนไลน์ที่แข็งแกร่ง
การศึกษาออนไลน์ให้นักเรียนที่ไม่ได้อยู่ในวิทยาลัยนักเรียนที่ทำงานหรือไม่เป็นแบบดั้งเดิมโอกาสที่จะได้รับปริญญาและพัฒนาทักษะ มันมีวิธีการเพิ่มการลงทะเบียนวิทยาลัย โปรดจำไว้ว่าร้อยละ 74 ของโรงเรียนบอกว่าพวกเขากำลังเสนอโปรแกรมการศึกษาออนไลน์ใหม่เป็นโอกาสสำหรับการเติบโตเพื่อเพิ่มการลงทะเบียนนักเรียนโดยรวม[8]. การได้รับปริญญาไม่ว่าจะออนไลน์หรือดั้งเดิมเป็นตั๋วสู่ความสำเร็จในอนาคต ผู้สมัครงานไม่จำเป็นต้องเปิดเผยว่าได้รับปริญญาออนไลน์ มีการยอมรับการรับรู้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเมื่อคุณภาพของโปรแกรมดีขึ้น เมื่อเทคโนโลยีกลายเป็นสิ่งจำเป็นก่อนการปฏิบัติงานและเมื่อผู้คนเข้าใจถึงความสำคัญของเทคโนโลยีในสถานที่ทำงานความเป็นจริงของการศึกษาออนไลน์ในฐานะสื่อกลางการฝึกอบรมที่มีอยู่จะอยู่ที่นี่ นอกจากนี้เมื่อผู้สอนวิทยาลัยได้รับการฝึกฝนให้ใช้เทคนิคการเรียนรู้ร่วมกันที่ดีขึ้นสำหรับนักเรียนในโครงการและชื่อเสียงของโปรแกรมเหล่านี้มีการแบ่งปันผู้จัดการฝ่ายการจ้างงานจะพิจารณาโปรแกรมออนไลน์ที่มีสิทธิรับรองอย่างต่อเนื่องเท่ากันและการพิจารณาว่า สิ่งที่ผ่านมา
วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
e-sport เป็นกีฬาหรือแค่เด็กติดเกมส์
เกมคอมพิวเตอร์ หรือ เมื่อก่อนเราเรียกว่า วิดีโอเกมส์ เพราะสมัยก่อนเครื่องเล่นเกมมีลักษณะคล้ายเครื่องเล่นวีดีโอและมีหน้าจอแสดงผลเป็นจอของทีวี ต่อมาเราเริ่มมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่สามารถใช้งานตามบ้านได้ เราก็มีเกมส์คอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ยุคแรกๆ วันนี้จะมาคุยกันว่าจะรับมือ e-sport ยังไงจะไม่ส่งเสริมก็จะเสียโอกาสจุดกึ่งกลางจะเป็นอย่างไร
ปัจจุบันเกมคอมพิวเตอร์พัฒนาการมาไกลมากพร้อมๆกับการมีอินเตอร์เน็ตทำให้เกิดเกมส์ออนไลน์ที่สามารถเล่นกับใครก็ได้ที่ออนไลน์อยู่ ทำให้เกิดปรากฏการหลายอย่าง คำว่า game ก็คือกีฬา ดังนั้นเมื่อมองว่า เป็นกีฬา ก็น่าจะเรียกว่า e-sport
เนื้อหาในวันนี้มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนกับอุตสาหกรรมเกมส์คอมพิวเตอร์ ก็เนืองจากมีการนำเกมคอมพิวเตอร์ไป แข่งขั้นในระดับสากล ก็เหมือนกับเป็นนักกีฬาทีมชาติ แน่นอนมันก็จะมีเรื่องของทีมต้นสังกัดเหมือนสมาคมฟุตบอล หรือ ทีมฟตบอล ดังนั้น ก็จะมีการฝึกซ้อม การฝึกซ้อมไม่ได้ให้เล่นเกมอย่างเดียว แต่ต้องมีเวลาซ้อมและเวลาออกกำลังกายในส่วนอื่นๆด้วย
เล่มเกมแล้วได้เงิน เงินนั้นมาจากไหน ก็มาจากการซื้อขายเครื่องมือในเกมส์ เช่น ขายให้กับผู้เล่นด้วยกัน รายได้จากการชนะการแข่งขั้น
อุตสาหกรรมเกมส์ ที่มาแรงมากก็คือเกาหลีนั่นเอง อุสาหกรรมของเขาคือผลิตเกมส์ ให้ผู้คนได้เข้าไปเล่นและซื้อขายอาวุธในเกมส์ดังนั้นเมื่อเป็นแบบนี้ ก็จะเกิดเม็ดเงินเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ เพราะมันคือ creative economy ระบบเศรษฐกิจที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์
ถ้าเรามองให้รอบด้านเราจะพบว่าธุรกิจที่เกิดจาก e-sport นั้นมีอะไรบ้าง
- การเป็นโปรโมเตอร์หรือผู้จัดงาน การแข่งขัน
- การสร้างทีมนักกีฬา หรือ ค่าย
- software เกมส์ที่จะผลิตออกมาให้ได้รับการยอมรับให้บรรจุว่าเป็นเกมส์ในรูปแบบ e-sport ได้ซึ่งก็จะมีเงื่อนไข
- Hard ware ที่ใช้ในการเล่น ไม่ว่าจะเป็น keyboard , JoyStick , จอภาพ และอื่นๆ
ถ้ามองในภาพรวมเราจะเห็นว่าในแวดวงการศึกษาจึงต้องเข้ามามีบทบาท เพื่อเป็นช่องทางให้ผู้ที่สนใจในเรื่องนี้เดินไปในทิศทางที่ถูก ต้องสอนอะไร เช่นสอนการสร้างเกมส์ วิเคราห์ ออกแบบเกมส์ อย่างไรให้เป็น e-sport ซึ่งคนที่จะรู้ดีว่า e-sport เป็นอย่างไรคงต้องคลุกคลีในด้านนี้ด้วย จะฝึกฝนอย่างไร แบ่งเวลาฝึกอย่างไร รวมถึง การเข้าสู่การเป็นออการ์ไนส์ในการจัดการแข่งขั้นการวางกติกา การแข่งขั้น
การที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งเปิดสาขานี้ก็เพราะอยากจะให้เกิดความเข้าใจรอบด้านว่า e-sport นั้นมันมีด้านดีก็มีส่วนด้านลบที่หลายคนพบเจอก็คือ การหมกมุ่นในเกมส์จน ไม่เป็นอันกินอันนอน การไม่รู้จักประมาณตน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมืออุปกรณ์ที่มีราคาสูงไม่เหมาะกับฐานะของผู้ปกครอง หรือ โอกาสที่จะเป็น StartUP ในสายนี้ก็จะต้องมีการส่งเสริมที่ชัดเจน
แบบไหนที่เรียกว่าติดเกมส์
คำตอบก็คือ
ไม่ประมาณตนเองให้เวลากับการเล่นมากกเกินไป
ไม่รู้จักเวลาที่ควรเช่นนั่งเรียนแล้วเปิดเกมส์ขึ้นมาเล่นจะเล่นด้วย bot ก็ตาม
ไม่ออกกำลังกาย หรือ มีการ Train ที่ถูกต้อง
การเอาชนะโดยไม่สนใจคุณธรรม ต้องรู้แพ้ รู้ชนะ
WHO หรือ องค์อนามัยโลกที่จัดให้ภาวะติดเกมถือเป็นอาการป่วย
Park Yang-Woo รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวของประเทศเกาหลีใต้ได้ออกมาประกาศว่าจะยังคงสนับสนุนอุตสาหกรรมเกมสำหรับตลาดในประเทศ พร้อมทั้งเตรียมมาตรการเพื่อรับมือกับการวินิจฉัยของ WHO
แต่เกาหลีใต้ก็ยังเดิน หน้าผลักดันการพัฒนาวงการอุตสาหกรรมเกมต่อไป ซึ่งรวมถึง esports การลงทุนในบริษัทผลิตเกมและผลประโยชน์ทางภาษี
“แม้ว่าจะยังมีบางคนที่มองว่าเกมเป็นสิ่งอันตราย แต่เกมก็ได้กลายมาเป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรมและการสันทนาการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
อีสปอร์ต (อังกฤษ: Esports) หรือ กีฬาอิเล็กทรอนิกส์ (อังกฤษ: electronic sports) คือกีฬาประเภทบุคคลหรือทีมชนิดหนึ่ง กรมกีฬาได้จัดEsportเป็นส่วนหนึ่งของกีฬาที่เกี่ยวกับกับการแข่งขันวิดีโอเกม โดยมีการแข่งตามประเภทของวิดิโอเกมเช่น เกมวางแผนการรบ, เกมต่อสู้, เกมยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่ง, โมบา การแข่งขันนั้นแบ่งออกเป็นระดับสมัครเล่น กึ่งอาชีพ และระดับมืออาชีพ รวมถึงมีรายการแข่งขันและลีกต่าง ๆ เช่นเดียวกับกีฬาทั่วไป ในปี 2017 ผู้ชมอีสปอร์ตมีจำนวนรวมทั้งสิ้นประมาณ 385 ล้านคนทั่วโลก[1]
อีสปอร์ตได้รับการบรรจุให้เป็นการแข่งขันกีฬาชิงเหรียญอย่างเป็นทางการในเอเชียนเกมส์ 2022 โดยจะจัดขึ้นฐานะกีฬาสาธิตในเอเชียนเกมส์ 2018
ในประเทศไทยได้มีการคัดค้านการรับรองอีสปอร์ตเป็นกีฬา โดยเห็นว่าอีสปอร์ตยังไม่เหมาะสมกับสังคมไทยที่มีปัญหาการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะปัญหาเด็กและเยาวชนเสพติดเกม แต่ในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 ที่ประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทยได้เห็นชอบให้อีสปอร์ตเป็นชนิดกีฬา ที่สามารถจดทะเบียนจัดตั้งเป็นสมาคมกีฬาในประเทศไทยได้ และได้รับการลงนามอนุมัติอย่างเป็นทางการจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ทำให้ไทยสามารถส่งผู้เข้าแข่งขันอีสปอร์ตในนามทีมชาติไทยอย่างเป็นทางการได้ ในรายการแข่งขันอีสปอร์ตระหว่างประเทศต่าง ๆโดยการเห็นชอบดังกล่าวได้มองในมุมของการแข่งขันหรือกีฬา ว่าเป็นคนละส่วนกันกับปัญหาการติดเกม คล้ายกับที่เคยรับรองสนุกเกอร์ว่าเป็นกีฬา โดยมองว่าเป็นคนละส่วนกับการที่โต๊ะสนุกเกอร์อาจเป็นแหล่งมั่วสุมของเยาวชน ก่อนหน้านี้ในเดือนมิถุนายน 2560 คณะกรรมการโอลิมปิกของประเทศลาวได้ให้การรับรองอีสปอร์ตในลักษณะเดียวกัน
วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2562
Facebook เปิดตัวสกุลเงินดิจิทัล เขย่าวงการ
เป็นไปตามข่าวลือที่ว่า เฟสบุ๊คจะเปิดตัว สกุลเงิน ดิจิทัล ด้วยการตั้งหน่วยงานหรือสมาคมที่ชื่อว่า Calibra เป้าหมายของ Calibraคือการพัฒนาและเปิดใช้งานกระเป๋าเงินของตัวเอง ตามแนวคิดที่ว่าไม่ต้องมีธนาคารเป็นศูนย์กลาง ก่อนหน้าที่เราจะรู้จักสกุลเงินที่ชื่อว่า บินคอย ซึ่งปัจจุบันมีการซื้อขายกันในตลาดซื้อขายเงินดิจิทัล ส่วนสกุลเงินดิจิทัลของเฟสบุคจะใช้ชื่อว่า Libra สำหรับ Carlibra มีผู้เข้าร่วมถึง 27 รายเช่น Uber Lyft eBay PayPal รวมถึง venture capital Visa master
การทำงานของ Libra ต่างจาก Bitcoin หรือไม่
การทำธุรกรรมของ Libra จะถูกบันทึกใน Blockchain ที่ป้องกันการปลอมแปลงซึ่งทำงานกับคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง เป็นเทคโนโลยีเดียวกับ บิทคอยน์ และ สกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ซึ่งจะมีความคล้ายคลึงกันแต่จะสะดวกในการเคลื่อนย้ายเงินและบันทึกธุรกรรมที่ปลอดภัย
ความต่างที่สำคัญมากๆก็คือราคาของ. Libra จะมีความเสถียรภาพมากกว่า Bitcoin เพราะได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนสำรอง แต่ในขณะที่มูลค่าของ Bitcoin นั้นลอยอยู่จึงมีความผันผวน
Bitcoin บันทึกรายการใน Blockchain สาธารณะ ที่อนุญาตให้ทุกคนสร้างมันได้ แต่สำหรับ Libra ผู้พัฒนาจะต้องขออนุญาตจาก Facebookและพันธมิตรที่ดูแลระบบ
มูลค่าของ Libra coin จะมีมูลค่าเท่าไหร่
เฟสบุ๊คและพันธมิตรอื่นๆที่เข้าร่วมจะทำให้การแลกเปลี่ยนสกุลเงินกันได้จากมูลค่าของ Libraในแต่ละวัน โดยใช้สัญลักษณ์ คลื่นสามลูก โดยมูลค่าจะเป็นค่าเฉลี่ยจากตระกร้าสกุลเงินหลักๆของโลกคือ ดอลล่าร์สหรัฐ ปอนด์ของอังกฤษ ยูโร และฟรังก์
จากรูปตัวอย่างจะเป็นตัวอย่างของ Libra เมื่อเป็นเงิน Maxican
เงินสกุลใหม่นี้จะถูกใช้ในกลางปี 2012 ผู้ใช้จะดาวน์โหลด Calibraและจะเชื่อมต่อกับบัญชีธนาคารของคุณ
แหล่งที่มา http://fortune.com/2019/06/18/facebook-project-libra-crypto-coin-cryptocurrency-how-it-works/
https://www.theverge.com/2019/6/18/18682838/facebook-digital-wallet-calibra-libra-cryptocurrency-kevin-weil-david-marcus-interview
การทำงานของ Libra ต่างจาก Bitcoin หรือไม่
การทำธุรกรรมของ Libra จะถูกบันทึกใน Blockchain ที่ป้องกันการปลอมแปลงซึ่งทำงานกับคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง เป็นเทคโนโลยีเดียวกับ บิทคอยน์ และ สกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ซึ่งจะมีความคล้ายคลึงกันแต่จะสะดวกในการเคลื่อนย้ายเงินและบันทึกธุรกรรมที่ปลอดภัย
ความต่างที่สำคัญมากๆก็คือราคาของ. Libra จะมีความเสถียรภาพมากกว่า Bitcoin เพราะได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนสำรอง แต่ในขณะที่มูลค่าของ Bitcoin นั้นลอยอยู่จึงมีความผันผวน
Bitcoin บันทึกรายการใน Blockchain สาธารณะ ที่อนุญาตให้ทุกคนสร้างมันได้ แต่สำหรับ Libra ผู้พัฒนาจะต้องขออนุญาตจาก Facebookและพันธมิตรที่ดูแลระบบ
มูลค่าของ Libra coin จะมีมูลค่าเท่าไหร่
เฟสบุ๊คและพันธมิตรอื่นๆที่เข้าร่วมจะทำให้การแลกเปลี่ยนสกุลเงินกันได้จากมูลค่าของ Libraในแต่ละวัน โดยใช้สัญลักษณ์ คลื่นสามลูก โดยมูลค่าจะเป็นค่าเฉลี่ยจากตระกร้าสกุลเงินหลักๆของโลกคือ ดอลล่าร์สหรัฐ ปอนด์ของอังกฤษ ยูโร และฟรังก์
จากรูปตัวอย่างจะเป็นตัวอย่างของ Libra เมื่อเป็นเงิน Maxican
เงินสกุลใหม่นี้จะถูกใช้ในกลางปี 2012 ผู้ใช้จะดาวน์โหลด Calibraและจะเชื่อมต่อกับบัญชีธนาคารของคุณ
แหล่งที่มา http://fortune.com/2019/06/18/facebook-project-libra-crypto-coin-cryptocurrency-how-it-works/
https://www.theverge.com/2019/6/18/18682838/facebook-digital-wallet-calibra-libra-cryptocurrency-kevin-weil-david-marcus-interview
วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
โครงการ Internet ดาวเทียม Starlink โดย elon musk ปล่อยสุ่วงโคจรแล้ว
โครงการปล่อยดาวเทียม ในโครงการ Internet ดาวเทียมชื่อ Starlink โดย elon musk เริ่มขึ้นแล้ว
กลุ่มดาวเทียม 60 ดวงแรกถูกปล่อยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่าน จากดาวเทียม 12,000 ดวงที่ถูกส่งไปยังวงโคจรประสบความสำเร็จในวันพฤหัสบดีโดย บริษัทของ Musk ซึ่งวางแผนที่จะใช้พวกมันเพื่อส่งสัญญาณการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตจากอวกาศสู่โลก SpaceX เผยแผนการในการจะปล่อยดาวเทียม ดวงขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศด้วย Falcon 9 เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสุด 1 Gbps ให้บริการอินเทอร์เน็ตในปี 2019 โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2024
SpaceX กล่าวว่าระบบให้บริการอินเทอร์เน็ตดังกล่าวจะมีความเร็วสูงสุดได้ถึง 1 Gbps และมี latency อยู่ในช่วงระหว่าง 25-35ms จากในปัจจุบันที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมมี latency อยู่ที่ 600ms หรือมากกว่า อีกทั้งเป็นความเร็วที่สูงกว่าอินเทอร์เน็ตตามสายส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
หลังจากที่มีการปล่อยก็มีการพบเห็นขบวนของดาวเทียมที่กำลังเคลื่อนที่ข้ามท้องฟ้าเช่นที่โพสต์ออนไลน์โดยนักดาราศาสตร์สมัครเล่นมาร์โกลังโบร๊กก์ในขั้นต้นทำให้เกิดความตื่นเต้นและความประหลาดใจ
ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดจนเว็บไซต์ยูเอฟโอดัตช์ เอาไปโพสล้อเรียนว่ากำลังจะเผชิญหน้าจากต่างดาว
แต่สำหรับนักดาราศาสตร์ความตื่นเต้นเริ่มต้นอย่างรวดเร็วแต่ทำให้เกิดความหวาดกลัวเมื่อพวกเขาเริ่มคำนวณผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับ ผู้คนเกี่ยวกับจักรวาล หรือนักดาราศาสตร์
ผมกระทบจากความเห็นของผม
เมื่อการปล่อยดาวเทียมครบ 12000 ดวงหรือ อินเตอร์เน็ตดาวเทียมให้บริการสิ่งที่น่าสนใจหาก ปล่อยให้ใช้บริการฟรีผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตในแต่ละประเทศ อาจจะถูกรบกวนจากโครงการนี้
แหล่งที่มา https://www.theguardian.com/technology/2019/may/28/spacex-satellites-could-blight-the-night-sky-warn-astronomers
แหล่งที่มา https://www.techtalkthai.com/spacex-2019-satellite-internet/
วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
โอเพนซอร์สกับการรับมือสงครามการค้ากรณี Huawei เมื่อรัฐบาลสั่งให้ google เลิกคบ หลัง 90 วันต่อจากนี้ไป
Android เป็น โอเพนซอร์สที่ทาง Google นำมาปรับปรุงให้สามารถแข่งขันกับ Apple ได้จนมีบริษัท Hardware ต่าง ๆ เข้าร่วมโครงการกับ Google จึงทำให้เราเห็นว่า Android นั้นมี Hardware ที่หลากหลายรวมถึง หัวเว่ยเองก็เข้าร่วมโครงการนี้ด้วย โอเพนซอร์สนั้นสำคัญอย่างไร เราได้เห็นแล้ว จีน สามารถพึงพาตัวเองทางเทคโนโลยีได้
เป็นข่าวตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม กระแสวิภาควิจารณ์เรื่องของการที่ Google หยุดทำธุรกรรมกับหัวเว่ย รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องของ หัวเว่ย เพราะหัวเว่ยเองไม่ได้มีแค่ โทรศัพท์มือถือ แต่ยังรวมถึงอุปกรณ์เครือข่าย อื่นๆ ตั้งแต่ระดับผู้ใช้งานตามบ้าน ไปจนถึงอุปกรณ์เครือข่าย เช่น Routher , Switch, Hub ไปจนถึง เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่
วันนี้จะพูดถึง Android ที่กระทบกับผู้ใช้งานทั่วๆไป แต่ก็เชื่อว่าไม่มีผลกระทบมากอย่างที่หลายๆคนคิด เพราะเนื่องจาก ระบบปฏิบัติการ Android เป็นลิขสิทธิ์แบบโอเพนซอร์ส ซึ่ง หมายถึงสิ่งที่ต้องทำเมื่อใช้ลิขสิทธิ์แบบนี้คือ ต้องเปิดเผยซอร์สโค๊ดของซอฟต์แวร์ ในที่นี้หมายถึงระบบปฏิบัติการ ดังนั้น ปัญหาเรื่องการอัพเดทระบบปฏิบัติการจะไม่ได้มีผลกระทบกับผู้ใช้งาน เท่าไหร่เพราะทาง หัวเว่ยเองก็จะเป็นผู้ที่จะต้องทำการปรับปรุงแก้ไขให้เข้ากับ hardware ของหัวเว่ย
ในระดับผู้ใช้งาน play store ถ้าหากในอนาคตเครื่องรุ่นใหม่ ๆ ไม่มี play store มาด้วยจะเป็นปัญหาหรือไม่ ปกติแล้วในส่วนนี้ หัวเว่ย สามารถสร้าง play store ขึ้นมาให้โทรศัพท์ของเขาสามารถเข้าถึง แหล่งซอฟต์แวร์ของตัวเองได้ และ ก็เชื่อว่าหากสภาพแวดล้อมของการเผยแพร่ application ไม่ต่างกันมากกับ android ก็จะมีนักพัฒนา นำงานของตัวเองมาขึ้นบริการกับหัวเว่ย
เนื่องจาก Android เป็น Open Source ที่เปิดซอร์สโค๊ด อยู่แล้วหัวเว่ยสามารถที่จะปรับปรุงซอฟต์แวร์ได้เองรวมถึงสามารถสร้างร้านขาย Application ของตัวเองได้ในอนาคตแต่การตัดขาดครั้งนี้ทำให้ผู้ใช้งานจะไม่สามารถอัพเดท youtube ได้ และ app อื่น ๆ ของ google
แต่หัวเว่ย ไม่ได้สนใจกลับยอมรับข้อตกลงและบอกว่าตนเองนั้นมีระบบปฏิบัติการที่ทำไว้แล้ว ชื่อ Hong Meng ตามที่เราได้ติดตามข่าวสารกันอย่างต่อเนื่อง
การทำระบบปฏบิบัติการใหม่ไม่ใช่เรื่องยากเนื่องจาก ระบบปฏิบัติการ Linux ที่โอเพนซอร์สจนทำให้เกิด ระบบปฏิบติการ Android ก็มีที่มาจาก Linux มาทำระบบปฏิบัติการสำหรับโมบาย ปัจจุบันก็มี ค่าย canonical ที่ทำระบบปฏิบัติการ ubuntu linux ก็ได้ทำ ubunto phone ออกมาแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ปัจจุบันก็ยังคงทำอยู่ บริษัท โนเกีย ก็มี ระบบปฏิบัติการชื่อ Meego ที่อยู่ใน Nokia N9 และออกมาในรูปแบบ โอเพนซอร์ส ด้วยเช่นกัน
การที่จะมีระบบปฏิบัติการใหม่ออกมาแข่งกับ google และ Apple มันเป็นเรื่องที่ท้าทายมากเพราะองค์ประกอบของมันอยู่ที่ แอปพลิเคชั่น ที่นักพัฒนาจะนำมาชนกับ ฝั่ง android ถ้านักพัฒนาเอาด้วยผู้ใช้งานก็จะมีทางเลือก ถาวว่าทำไมนักพัฒนาถึงไม่มาทำแอปให้ฝั่งค่าย อื่น ๆ บ้าง ลำพังทำแอปให้ android กับ Apple ก็ใช้เวลามากพอแล้ว การที่พวกเขาจะต้องมาทดสอบแอปให้เข้ากับระบบปฏิบัติการใหม่นั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้บุคลากรเพิมขึ้นนั่นเอง
แต่ถ้าระบบปฏิบัติการนั้นมีค่ายอื่นมาร่วมด้วยกันมากๆแบบ Android ก็จะมีความเป็นไปได้ที่จะต่อกรกับ Google ได้
เทคโนโลยีระบบเปิดหรือที่เรียกว่าโอเพนซอร์สเราจะเห็นชัดเจนในศึกครั้งนี้ว่า การมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเองนั้นไม่ต้องเริมจากศูนย์ ใช้วิธีการพัฒนาต่อยอด บรรลุข้อตกลงร่วมกันว่าจะต้องเปิดเผยรหัสหรือซอร์สโค๊ดของซอฟต์แวร์ ก็จะทำให้เกิดนวรรตกรรมใหม่ๆ ได้ไม่ยาก บนพื้นฐานของการไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ที่เราเรียกว่าการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเท่าเทียม โปร่งใส เพราะตรวจสอบซอร์สโค๊ดได้
ความเป็นโอเพนซอร์สของซอฟต์แวร์หลาย ๆ ตัวที่ขับเคลื่อน กันอยู่ในปัจจุบัน รัฐบาลจีนเองเคยให้ข่าวว่าให้กระทรวงกลาโหมของเขานั้นใช้ระบบปฏิบัติการ Linux ที่พัฒนาเองชื่อว่า Red Flag Linux
https://en.wikipedia.org/wiki/Red_Flag_Linux
หลังจากเกิดเหตุการหัวเว่ยได้ไม่นาน เกาหลีใต้ ก็มีประกาศออกมาว่าให้ใช้ Linux เป็นระบบปฏิบัติการแห่งชาติเพราะนอกจากจะ ปลอดภัยในเรื่องการถูกระงับทางการค้าแลัว Linux จะยังช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ 780 พันล้านวอน
ในยุคที่ Linux สามารถใช้งานกับเครื่อง Desktop ได้ดีรัฐบาลไทยเองก็ต้องวางแผนเรื่องนี้เอาไว้ด้วยหากเกิดเหตุต้องเลือกข้างขึ้นมา หรือ เราต้องเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง พึงพาตัวเองให้ได้ ทางเทคโนโลยี แต่เท่าที่ผ่านมารัฐบาลไทยทุกสมัยยังไม่ให้ความสำคัญเรื่องนี้
วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
Microsoft Love Linux
นับตั้งแต่ ไลนัส ทอวัล สร้างระบบปฏิบัติการ Linux ขึ้นมาเพื่อเรียนแบบการทำงานของ ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ UNIX ที่ทำงานกับ CPU INTEL นับเป็นเวลากว่า 25 ปี ที่ Linux หรือ ไวนัส (
Linus Torvalds) เป็นระบบปฏิบัติการที่ แข็งแรงในเรื่องการใช้งาน พร้อมๆกันหลายๆคน และทำงานได้พร้อมกันหลายๆงานในเวลาเดียวกัน จนแตกหน่อ ออกไปมากมาย หรือเรียกว่า ดิสโทร (Distro) เช่น Redhat ,suse ,ubuntu
เหตุที่วันนี้พูดเรื่องนี้ก็เพราะว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่าน ไมโครซอฟต์จะนำเอาแกนกลางของระบบปฏิบัติการ linux มาใข้ร่วมกับ ระบบปฏิบัติการ windows 10.โดยเรีนกว่า Subsystem2 WSL2 นั้นแสดงว่ามี WSL1 มาก่อนแล้ว.สำหรับ WSL2 จะเร็วกว่าเดิมหลายเท่า ให้อารมณ์เหมือนได้ใข้งาน Linux
ระบบปฏิบัติการ windows เป็นระบบปฏิบัติการที่เกิดมากับ CPU intel เป็นที่นิยมใช้งานทั่วไป ในอดีตที่ผ่าน สองโอเอสนี้ ก็มีแฟนคลับที่เหนียวแน่นเรียกว่ากินกันไม่ลง พอมามีความร่วมมือกันทาง้ทคนิคของ canonical กับ microsoft ทำให้ windows เองนั่นใช้งานแอปพลิเคชั่น ของ linux ได้มากขึ้น
สิ่งที่ windows ได้ประโยชน์ในครั้งนี้ก็คือ จะสามารถ ใช้งาน docker , kuburnetes และอ่านไฟล์ในระบบของ linux สำหรับสิ่งหนึ่งทำให้ ไมโครซอฟต์หันมา รัก linux ก็คือเรื่องของ Azure cloud ของไมโครซอฟต์นั่นเอง เพราะนักพัฒนา สร้างงาน บน Docker แล้ว deploy ขึน คราว์น ดังนัน หากนักพัฒนาไม่สามารถ ทำงานกับ.Docker ได้สะดวก เขาก็จะหันไปใช้ Linux แบบเต็มตัว เพราะก่อนหน้านี้ พวกเขาทำงาน Linux ผ่าน virtual machine (VM) เพราะ WSL1 ช้าและไม่คล่องตัว
สำหรับผู้ใช้งานทั้วๆไปจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรมาก แต่ในส่วนของ นักพัฒนาซอฟต์แวร์จะได้รับประโยชน์เต็มๆ โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนระบบปฏิบัติการไปใช้ Linux
ส่วนผู้ใช้งาน Linux เองก็หวังว่าสักวันหนึ่งซอฟต์แวร์ที่ วิ่งอยู่บนระบบปฏิบัติการ windows จะสามารถติดตั้งบน ระบบปฏิบัตการ Linux
ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจว่า Developer ส่วนมาก ทำไมถึงใช้ OSX กันก็เพราะ มีโครงสร้างเป็น UNIX อยู่แด่เดิมและก็พัฒนามาจากซอฟต์แวร์ระบบเปิด
วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2562
โดรนส่งสินค้าสร้างความเดือดร้อน
หลังจากทีเราได้ยินข่าวมากมายในช่วยสองสามปีที่ผ่านมาว่า การส่งสินค้าในอนาคตจะมีการใช้ อากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรนส่งสินค้า เช่น ในสหรัฐอเมริกาเอง Amazon ก็ได้รับใบอนุญาตให้ทดสอบการส่งสินค้าด้วยโดรนได้ หลายๆคนก็คาดหวังว่าต่อไป สินค้าจะมาถึงมือผู้บริโภคไวขึ้นด้วยบริการโดรน
เมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมาที่ประเทศออสเตเรีย บริษัท Wing บริษัทลูกของ Alphabet ได้เปิดตัวบริการโดรนเชิญพาณิชย์ ส่งสินค้าทางอากาศ (drone delivery service) ในเขตชานเมือง Crace, Palmerston และ Franklin” ซึ่งอยู่ทางเหนือของแคนเบอร์ราในออสเตรเลีย โดรนของ Wing สามารถวางผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กหลากหลายประเภทรวมถึงกาแฟอาหารและร้านขายยาทำการปิดการทำงานของพวกเขาจากร้านค้าในท้องถิ่นไปจนถึงสวนหลังบ้านของลูกค้าภายในไม่กี่นาที
คำถามมากมายเกิดขึ้น เช่น บริการนี้จะมีได้นานแค่ไหน เสียงที่ดังมากเมื่อโดรนบินผ่าน หรือ จะหย่อนสินค้า ซึ่งเสียงเหล่านี้เป็นการรบกวนอย่างมาก คำถามในการให้บริการว่าถ้าฝนตกจะให้บริการได้หรือไม่ โดรนมีร่มชูชีพไหม กรณีฉุกเฉิน การจราจรทางอากาศจะต้องมีการบริหารจัดการยังไง
ส่วนคนที่ใช้บริการรับส่งสินค้าของ Wing ก็ชมกันว่าสะดวกไม่ต้องวุ่นวายกับการขับรถไปที่ร้านกาแฟ อยากสั่กาแฟดี ดี ตอนเช้า กาแฟก็ลอยมาส่งถึงบ้าน ภายในเวลา 10 นาทีก็ได้ทานกาแฟแล้ว
Wing ดูเหมือนจะส่งเสริมการจัดส่งอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่คนต้องการบ่อย แต่อีกแนวทางถ้าคุณเพียงสั่งให้อาหารหลายอย่าง อาจจะต้องใช้โดรนหลายตัวเพื่อส่งอาหารให้เพียงพอ และในชานเมืองที่ทำให้เกิดการแข่งขันโกับผู้ที่ส่งของด้วยรถ การส่งมอบจะประสิทธิภาพมากขึ้น (และในอนาคตอันใกล้จะมี ความหลากหลายของ หุ่นยนต์ทางเท้า และยานพาหนะของตนเองเช่นกัน) Wing เสนอให้ส่งมอบสิ่งต่าง ๆ ภายใน 10 นาที แต่เมื่อเทียบกับส่งของโดยรถยนต์เวลา 20 หรือ 30 นาที นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้การบริการ
การตอบคำถามของ Wing ต่อปัญหาเสียงรบกวน (เมื่อWall Street Journalถามพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเดือนมกราคม) คือ:“ มันเป็นเสียงใหม่ที่หูของมนุษย์ไม่เคยได้ยินเมื่อมาถึงจุดนี้” โดยทั่วไปแล้ว บริษัท กำลังจัดการปัญหาด้วยการพูดว่า คุณจะชินกับมันในที่สุด” Wing กล่าวว่ามันทำงานบนโดรนที่เงียบกว่า แต่ก็ยังคงเป็นที่เห็นได้ว่าการปรับปรุงเป็นไปได้มากแค่ไหน
โดรนในประเทศ
ส่วนปัญหาของโดรนในประเทศไทยมีมากเช่นกันเพราะเรามีกฏหมาย ห้ามไม่ให้โดรนขึ้นบินโดยไม่ได้รับอณุญาตเหมือกัน และเมื่อไม่นานที่ผ่านมา ช่างภาพที่ใช้โดรนโดยที่ไม่ไปขึ้นทะเบียน และห้ามบินสูงเกิน 90 เมตร ก็ออกมา บนและเขียนเล่าเหตุการของการเสียค่าปรับในการบินโดรนโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนว่า เขาเองนั้นถูกแจ้งความ โดยมีหลักฐานการแชรภาพในเฟสบุคมาประกอบ
ส่วนคนที่เคยขึ้นทะเบียนแล้วก็มีมาเล่าให้ฟังอีกว่า เมื่อมีคนแอบบินโดรนในบริเวณใกล้เคียงเขามักจะถูกตำรวจเรียกเข้าไปสอบถามว่าได้ทำการบินหรือไปในเวลาดังกล่าว
เนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบินโดรน https://www.dotlife.store/blog/uav_authorization/
แหล่งที่มาของข่าว https://spectrum.ieee.org/automaton/robotics/drones/wing-officially-launches-australian-drone-delivery-service
เมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมาที่ประเทศออสเตเรีย บริษัท Wing บริษัทลูกของ Alphabet ได้เปิดตัวบริการโดรนเชิญพาณิชย์ ส่งสินค้าทางอากาศ (drone delivery service) ในเขตชานเมือง Crace, Palmerston และ Franklin” ซึ่งอยู่ทางเหนือของแคนเบอร์ราในออสเตรเลีย โดรนของ Wing สามารถวางผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กหลากหลายประเภทรวมถึงกาแฟอาหารและร้านขายยาทำการปิดการทำงานของพวกเขาจากร้านค้าในท้องถิ่นไปจนถึงสวนหลังบ้านของลูกค้าภายในไม่กี่นาที
คำถามมากมายเกิดขึ้น เช่น บริการนี้จะมีได้นานแค่ไหน เสียงที่ดังมากเมื่อโดรนบินผ่าน หรือ จะหย่อนสินค้า ซึ่งเสียงเหล่านี้เป็นการรบกวนอย่างมาก คำถามในการให้บริการว่าถ้าฝนตกจะให้บริการได้หรือไม่ โดรนมีร่มชูชีพไหม กรณีฉุกเฉิน การจราจรทางอากาศจะต้องมีการบริหารจัดการยังไง
ส่วนคนที่ใช้บริการรับส่งสินค้าของ Wing ก็ชมกันว่าสะดวกไม่ต้องวุ่นวายกับการขับรถไปที่ร้านกาแฟ อยากสั่กาแฟดี ดี ตอนเช้า กาแฟก็ลอยมาส่งถึงบ้าน ภายในเวลา 10 นาทีก็ได้ทานกาแฟแล้ว
Wing ดูเหมือนจะส่งเสริมการจัดส่งอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่คนต้องการบ่อย แต่อีกแนวทางถ้าคุณเพียงสั่งให้อาหารหลายอย่าง อาจจะต้องใช้โดรนหลายตัวเพื่อส่งอาหารให้เพียงพอ และในชานเมืองที่ทำให้เกิดการแข่งขันโกับผู้ที่ส่งของด้วยรถ การส่งมอบจะประสิทธิภาพมากขึ้น (และในอนาคตอันใกล้จะมี ความหลากหลายของ หุ่นยนต์ทางเท้า และยานพาหนะของตนเองเช่นกัน) Wing เสนอให้ส่งมอบสิ่งต่าง ๆ ภายใน 10 นาที แต่เมื่อเทียบกับส่งของโดยรถยนต์เวลา 20 หรือ 30 นาที นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้การบริการ
การตอบคำถามของ Wing ต่อปัญหาเสียงรบกวน (เมื่อWall Street Journalถามพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเดือนมกราคม) คือ:“ มันเป็นเสียงใหม่ที่หูของมนุษย์ไม่เคยได้ยินเมื่อมาถึงจุดนี้” โดยทั่วไปแล้ว บริษัท กำลังจัดการปัญหาด้วยการพูดว่า คุณจะชินกับมันในที่สุด” Wing กล่าวว่ามันทำงานบนโดรนที่เงียบกว่า แต่ก็ยังคงเป็นที่เห็นได้ว่าการปรับปรุงเป็นไปได้มากแค่ไหน
โดรนในประเทศ
ส่วนปัญหาของโดรนในประเทศไทยมีมากเช่นกันเพราะเรามีกฏหมาย ห้ามไม่ให้โดรนขึ้นบินโดยไม่ได้รับอณุญาตเหมือกัน และเมื่อไม่นานที่ผ่านมา ช่างภาพที่ใช้โดรนโดยที่ไม่ไปขึ้นทะเบียน และห้ามบินสูงเกิน 90 เมตร ก็ออกมา บนและเขียนเล่าเหตุการของการเสียค่าปรับในการบินโดรนโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนว่า เขาเองนั้นถูกแจ้งความ โดยมีหลักฐานการแชรภาพในเฟสบุคมาประกอบ
ส่วนคนที่เคยขึ้นทะเบียนแล้วก็มีมาเล่าให้ฟังอีกว่า เมื่อมีคนแอบบินโดรนในบริเวณใกล้เคียงเขามักจะถูกตำรวจเรียกเข้าไปสอบถามว่าได้ทำการบินหรือไปในเวลาดังกล่าว
เนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบินโดรน https://www.dotlife.store/blog/uav_authorization/
แหล่งที่มาของข่าว https://spectrum.ieee.org/automaton/robotics/drones/wing-officially-launches-australian-drone-delivery-service
วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2562
STEM Education ความมั่นใจทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สร้างความแปลกใจเมื่อหลายๆคนเห็นข่าวญี่ปุ่นเพิ่มหลักสูตรการเขียนโปรแกรมทั้งแต่ ป 5 ก็เพราะมีรายงานว่า ปี 2020 ญี่ปุ่นจะขาดแคลนแรงงานด้าน IT ถึง 290,000 ตำแหน่ง หลายคนก็ตื่นเต้นกับข่าวนี้ แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่แค่ IT เท่านั้นที่ขาดแคลน และ ไม่ แค่ญี่ปุ่นเท่านั้น ประเทศไทย เมื่อ ปีที่แล้ว บริษัทรับสมัครงานออนไลน์ jobthai ก็เปิดเผยตัวเลขว่ามีตำแหน่งงานด้านไอทีที่ต้องการถึง 4000 ตำแหน่ง
ไม่เพียงแต่ตลาดแรงงานที่คาดแคลนในสาย IT แต่ในแวดวง วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เทคโนโลยี ต่างก็ขาดแคลน และ คาดการณ์กันว่า เศรฐกิจยุคใหม่ จะขับเคลื่อนด้วย สหวิทยาการทั้ง 4 สาขานี้ ดังนั้น ในบางประเทศเขาจะให้นักเรียนแยกสาขา ออกไปเป็นสาขาที่เรียกว่า STEM (Science Technology Engineering Math )คล้าย ๆกับที่ สมัยก่อน พอเข้ามัธยมต้น ก็จะจัดกลุ่มเรียนตามที่ ถนัด เช่น สายวิทย์ สายศิลป์ สายภาษา ส่วนปัจจุบันในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา จะมีสาขาที่เรียกว่า STEM และโรงเรียนบางแห่ง ก็แยก สาขาขึ้นมาใหม่เรียกว่า วิทยาการหุ่นยนต์
การขับเคลื่อนเศรฐกิจที่บ้านเราเรียกว่า เศรฐกิจดิจิทัล มีความจำเป็นมากๆที่จะต้อง ฝึกบุคลากรรุ่นใหม่กันตั้งแต่ชั้น ประถมศึกษา โดยการบรรจุ STEM เข้าไปในหลักสูตร สำหรับประเทศไทย จะไปอยู่ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ วิทยาการคำนวณ ตั้แต่ปีการศึกษา 2561 ดังนั้น การที่เราได้เห็นข่าวเด็กประถมเรียนหุ่นยนต์ เรียนเขียนโปรแกรม ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป
มีงานวิจัยออกมาถึงปัญหาในการจัดการเรียนการสอน STEM อยู่ไม่น้อย เช่นตัวอย่างของเด็กผู้หญิงที่เรียนเขียนโปรแกรมได้ดี แต่ เวลามีการแข่งขั้นก็มักจะไม่ค่อยพบเด็กผู้หญิงลงแข่งขั้นในรายการต่าง ๆ เช่นการแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ หันมามองที่ประเทศไทยก็เป็นปัญหาเช่นเดียวกัน ในรายการแข่งขันหุ่นยนต์เดินตามเส้น ที่ผ่านมา ทีมที่เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็กผู้ชาย
จากการสังเกตุในการสอนเขียนโปรแกรมสำหรับเด็กที่ผ่านมากลุ่มของเด็กผู้หญิงจะสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าผู้ชาย แต่เด็กผู้ชายจะสามารถคิดอะไรแผลงๆออกมาได้มากกว่า น่าจะเกิดจากความซนของเด็กผู้ชาย
ชนพื้นเมืองที่่มีความเชื่อเรื่องสัตว์ เช่นเผ่า Taboo ก็ทำให้ไม่มีนักเรียนที่จะสนใจเรียนวิทยาศาสตร์ คล้ายๆ กับเด็กไทยบางคนที่ กลัวบาปเรื่องการทรมารสัตว์ หรือ ก็จะไม่ชอบเรียนชีวะวิทยา
เทรนส่วนใหญ่ของหลายๆประเทศได้นำเอา STEM มาอยู่ในสายของการเรียน แบบผสมผสานเข้าไปเช่นเอาเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาทางการคำนวณวิทยาสาสตร์ การพิสูจน์โจทย์ทางคณิตสาสตร์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ในแต่ละประเทศก็จะมีปัญหาคล้ายๆกันคือ เด็กเมื่อเข้าสู่ระดับมัธยม ความสนใจในวิชา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ จะลดลง เรื่องนี้เกิดขึ้นกับหลายประเทศ แม้แต่ประเทศที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ ในระดับแถวหน้าก็ตาม (ข้อมูลจาก TIMSS 2015 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทัศนคติ ) TIMSS คือ Trends in the International Mathematics and Science Study ข้อมูลต่างๆ สามารถเข้าไปเลือกได้จากเว็บไซต์ https://nces.ed.gov ข้อมูลล่าสุดจะอยู่ที่ปี 2015 เขาจะทำการทดสอบทุกๆสี่ปี ส่วนประเทศไทย ปี 2015 ไม่ได้เข้าร่วม
ในประเทศอินโดนิเซีย STEM เป็นวิชาแยกออกมาจาก คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ซึ่งจริงๆ แล้วจะต้องบูรณาการเข้าด้วยกัน ซึ่งในอนาคตจะต้องมีการแก้ไขหลักสูตร แต่ รัฐบาลของอิโดนิเซีย ให้ความสำคัญกับการนำเอา STEM เข้าไปใช้ในโรงเรียนอาชีวศึกษา เพื่อต้องการพัฒนาทักษะให้ทันกับอุตสาหกรรม ยุคที่ 4
ในสหรัฐอเมริกา ภาคการศึกษาไม่มีข้อสงสัยเลยเพราะทุกส่วนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ให้ความสำคัญมีความเห็นตรงกันว่าประเทศต้องไปในแนวทางของการนำเอา STEM education มาใช้ เมื่อปี 2010 สภาที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของประธานาธิบดี โอบาม่า คาดการณ์ว่าในอีกสิบปีข้างหน้าจะต้องผลิตบัณฑิต หนึ่งล้านคน ในสาขา STEM
สรุป
เราจะเห็นว่ามุมมองของรับบาลหลายๆประเทศสอดคล้องกันคือให้ความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมต่างๆที่เปลี่ยนไป พบว่าการให้ความสำคัญต่อสาขาSTEM ต้องเริ่มจาก ประถมศึกษา ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย และ สายอาชีพ
ข้อมูลบางส่วนจาก
International Journal of innovation in Science and Mathematics Education 2018
ไม่เพียงแต่ตลาดแรงงานที่คาดแคลนในสาย IT แต่ในแวดวง วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เทคโนโลยี ต่างก็ขาดแคลน และ คาดการณ์กันว่า เศรฐกิจยุคใหม่ จะขับเคลื่อนด้วย สหวิทยาการทั้ง 4 สาขานี้ ดังนั้น ในบางประเทศเขาจะให้นักเรียนแยกสาขา ออกไปเป็นสาขาที่เรียกว่า STEM (Science Technology Engineering Math )คล้าย ๆกับที่ สมัยก่อน พอเข้ามัธยมต้น ก็จะจัดกลุ่มเรียนตามที่ ถนัด เช่น สายวิทย์ สายศิลป์ สายภาษา ส่วนปัจจุบันในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา จะมีสาขาที่เรียกว่า STEM และโรงเรียนบางแห่ง ก็แยก สาขาขึ้นมาใหม่เรียกว่า วิทยาการหุ่นยนต์
การขับเคลื่อนเศรฐกิจที่บ้านเราเรียกว่า เศรฐกิจดิจิทัล มีความจำเป็นมากๆที่จะต้อง ฝึกบุคลากรรุ่นใหม่กันตั้งแต่ชั้น ประถมศึกษา โดยการบรรจุ STEM เข้าไปในหลักสูตร สำหรับประเทศไทย จะไปอยู่ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ วิทยาการคำนวณ ตั้แต่ปีการศึกษา 2561 ดังนั้น การที่เราได้เห็นข่าวเด็กประถมเรียนหุ่นยนต์ เรียนเขียนโปรแกรม ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป
มีงานวิจัยออกมาถึงปัญหาในการจัดการเรียนการสอน STEM อยู่ไม่น้อย เช่นตัวอย่างของเด็กผู้หญิงที่เรียนเขียนโปรแกรมได้ดี แต่ เวลามีการแข่งขั้นก็มักจะไม่ค่อยพบเด็กผู้หญิงลงแข่งขั้นในรายการต่าง ๆ เช่นการแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ หันมามองที่ประเทศไทยก็เป็นปัญหาเช่นเดียวกัน ในรายการแข่งขันหุ่นยนต์เดินตามเส้น ที่ผ่านมา ทีมที่เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็กผู้ชาย
จากการสังเกตุในการสอนเขียนโปรแกรมสำหรับเด็กที่ผ่านมากลุ่มของเด็กผู้หญิงจะสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าผู้ชาย แต่เด็กผู้ชายจะสามารถคิดอะไรแผลงๆออกมาได้มากกว่า น่าจะเกิดจากความซนของเด็กผู้ชาย
ชนพื้นเมืองที่่มีความเชื่อเรื่องสัตว์ เช่นเผ่า Taboo ก็ทำให้ไม่มีนักเรียนที่จะสนใจเรียนวิทยาศาสตร์ คล้ายๆ กับเด็กไทยบางคนที่ กลัวบาปเรื่องการทรมารสัตว์ หรือ ก็จะไม่ชอบเรียนชีวะวิทยา
เทรนส่วนใหญ่ของหลายๆประเทศได้นำเอา STEM มาอยู่ในสายของการเรียน แบบผสมผสานเข้าไปเช่นเอาเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาทางการคำนวณวิทยาสาสตร์ การพิสูจน์โจทย์ทางคณิตสาสตร์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ในแต่ละประเทศก็จะมีปัญหาคล้ายๆกันคือ เด็กเมื่อเข้าสู่ระดับมัธยม ความสนใจในวิชา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ จะลดลง เรื่องนี้เกิดขึ้นกับหลายประเทศ แม้แต่ประเทศที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ ในระดับแถวหน้าก็ตาม (ข้อมูลจาก TIMSS 2015 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทัศนคติ ) TIMSS คือ Trends in the International Mathematics and Science Study ข้อมูลต่างๆ สามารถเข้าไปเลือกได้จากเว็บไซต์ https://nces.ed.gov ข้อมูลล่าสุดจะอยู่ที่ปี 2015 เขาจะทำการทดสอบทุกๆสี่ปี ส่วนประเทศไทย ปี 2015 ไม่ได้เข้าร่วม
ในประเทศอินโดนิเซีย STEM เป็นวิชาแยกออกมาจาก คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ซึ่งจริงๆ แล้วจะต้องบูรณาการเข้าด้วยกัน ซึ่งในอนาคตจะต้องมีการแก้ไขหลักสูตร แต่ รัฐบาลของอิโดนิเซีย ให้ความสำคัญกับการนำเอา STEM เข้าไปใช้ในโรงเรียนอาชีวศึกษา เพื่อต้องการพัฒนาทักษะให้ทันกับอุตสาหกรรม ยุคที่ 4
ในสหรัฐอเมริกา ภาคการศึกษาไม่มีข้อสงสัยเลยเพราะทุกส่วนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ให้ความสำคัญมีความเห็นตรงกันว่าประเทศต้องไปในแนวทางของการนำเอา STEM education มาใช้ เมื่อปี 2010 สภาที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของประธานาธิบดี โอบาม่า คาดการณ์ว่าในอีกสิบปีข้างหน้าจะต้องผลิตบัณฑิต หนึ่งล้านคน ในสาขา STEM
สรุป
เราจะเห็นว่ามุมมองของรับบาลหลายๆประเทศสอดคล้องกันคือให้ความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมต่างๆที่เปลี่ยนไป พบว่าการให้ความสำคัญต่อสาขาSTEM ต้องเริ่มจาก ประถมศึกษา ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย และ สายอาชีพ
ข้อมูลบางส่วนจาก
International Journal of innovation in Science and Mathematics Education 2018
วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2562
ปฏิบัติการส่งเสริม FAB LAB ในประเทศไทย
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจเรื่อง FAB กันก่อนซึ่งมีที่มาจากคำว่า fabrication ที่หมายถึงการประดิษฐ์ ส่วนคำว่า Fab Lab ก็จะหมายถึงห้องปฏิบัติการ หรือ ห้อง ประลองสำหรับการประดิษฐ์ ซึ่งในห้องประลองนี้ก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่อการสร้างสรรค์งานที่ประกอบไปด้วย เครื่อง 3D Print เครื่อง มือวัดอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องตัดเจาะ CNC เครื่อง เรเซอร์คัดเตอร์
Fab Lab เป็นส่วนขยายการศึกษาของศูนย์สำหรับ Bits และ Atoms (CBA) ของ MIT ซึ่งเป็นส่วนขยายของการวิจัยในการผลิตและคำนวณแบบดิจิทัล Fab Lab เป็นแพลตฟอร์มต้นแบบทางเทคนิคสำหรับนวัตกรรมและการประดิษฐ์ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นสำหรับผู้ประกอบการในท้องถิ่น Fab Lab ยังเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการเรียนรู้และนวัตกรรม: สถานที่เล่น, สร้างสรรค์, เรียนรู้, ให้คำปรึกษาและประดิษฐ์ การเป็น Fab Lab หมายถึงการเชื่อมต่อกับชุมชนผู้เรียนการศึกษานักเทคโนโลยีนักวิจัยผู้ผลิตและผู้สร้างนวัตกรรม - เครือข่ายการแบ่งปันความรู้ที่ครอบคลุม 30 ประเทศและ 24 โซนเวลา เนื่องจาก Fab Labs ทั้งหมดแบ่งปันเครื่องมือและกระบวนการทั่วไปโปรแกรมจึงสร้างเครือข่ายทั่วโลกห้องปฏิบัติการกระจายเพื่อการวิจัยและการประดิษฐ์
สำหรับในประเทศไทยการส่งเสริมให้โรงเรียนมีการจัดตั้ง FAB LAB ขึ้นในโรงเรียนระดับมัฐยมมากขึ้นเพื่อการส่งเสริมเรื่อง STEM ศึกษา โดยการที่เป็นการนำเอา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ มาบูรณาการในรายวิชาโดยให้ครอบคุมเนื้อหาทั้ง 4 ด้าน เพื่อให้ผลเป็นรูปเป็นร่างจับต้องได้ไมได้มีแค่ในตำราเท่านั้น นักเรียนสามารถที่จะเข้ามาใช้งานเครื่องมือเหล่านี้เปรียบเสมือนแหล่งบริการทางการศึกษาเช่นห้องสมุดเป็นต้น
หัวเรือหลักในเรื่องนี้สำหรับประเทศไทย ก็จะเป็นศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติหรือ สวทช ที่ส่งเสริมเรื่องนี้อยู่ โดยเมื่อปีที่ผ่านมาได้มีการแจก อุปกรณ์การเรียนรู้สำหรับการเขียนโปรแกรมเพื่องานสมองกลฝังตัว ออกไปยังสู่โรงเรียน ทั้งหมด สองพันโรงเรียน โดยใช้ชื่ออุปกรณ์ตัวนี้ว่า kidBright และมีแนวโน้มว่าจะจัดสรรค์เพิ่มขึ้นอีก
การมอบเครื่องพิมพ์สามมิติทีพัฒนาโดยนักวิจัยไทยให้กับโรงเรียนที่มีความพร้อมเช่นเรียนในโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาของโรงเรียนในชนบท (ทสรช.) ภายใต้มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ
โรงเรียนในเขตการส่งเสริม EECi เช่นจังหวัดระยอง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี จำนวน 40 โรงเรียน ที่เคยได้รับอุปกรณ์ที่ชื่อว่า KidBright เข้ามาอบรมเพิ่มเติมและประเมินความก้าวหน้าด้วยการจัดประกวดโครงงาน ซึ่งจะมีขึ้นในเดือน มิถุนาที่จะถึงผมจะติดตามมาเล่าสู่กันฟัง
การอบรมนักเรียนแต่ละโรงเรียนจะต้องนำความรู้ที่จากในห้องเรียนปกติ และ ห้องอบรมมานำเสนอแนวคิดว่าจะสร้างโครงงานอะไร แล้วทำการเบิกอุปกรณ์ ภายในกิจกรรมก็จะมีนักวิชาการ เข้ามาช่วยในการให้คำแนะนำในการเขียนโปรแกรม กิจกรรมการสร้างหุ่นยนต์เพื่อการกระตุ้นให้เด็กๆ เกิดความสนใจที่จะศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อีกตัวคือ การประกอบหุ่นยนต์ BEAM จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เด็กๆ ได้สัมผ้สกับการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เอามาประกอบกันแล้วให้หุ่นทำงานโดยไม่ต้องเขียนโปรแกรมเช่น หุ่นเดินตามเส้น กิจกรรมที่สามเป็นกิจกรรม ออกแบบชิ้นงานด้วยเครื่องพิพม์ สามมิติ เพื่อให้ได้ชิ้นงาน หุ่นยนต์ไต่ราว ที่มาจากการออกแบบ ของเด็กๆ
กิจกรรมสามอย่างนั้นจัดขึ้นช่วงเดือนมีนาคม และให้เวลาเด็กๆ สามเดือนนำผลงานมานำเสนอกัน และนี้คือความก้าวหน้าในการพัฒนาเด็กๆ เพื่อกระตุ้นการเป็นนักประดิษฐ์ ส่งเสริมการเรียนรู้ STEM และจัดตั้ง FABLAB ในโรงเรียน
Fab Lab เป็นส่วนขยายการศึกษาของศูนย์สำหรับ Bits และ Atoms (CBA) ของ MIT ซึ่งเป็นส่วนขยายของการวิจัยในการผลิตและคำนวณแบบดิจิทัล Fab Lab เป็นแพลตฟอร์มต้นแบบทางเทคนิคสำหรับนวัตกรรมและการประดิษฐ์ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นสำหรับผู้ประกอบการในท้องถิ่น Fab Lab ยังเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการเรียนรู้และนวัตกรรม: สถานที่เล่น, สร้างสรรค์, เรียนรู้, ให้คำปรึกษาและประดิษฐ์ การเป็น Fab Lab หมายถึงการเชื่อมต่อกับชุมชนผู้เรียนการศึกษานักเทคโนโลยีนักวิจัยผู้ผลิตและผู้สร้างนวัตกรรม - เครือข่ายการแบ่งปันความรู้ที่ครอบคลุม 30 ประเทศและ 24 โซนเวลา เนื่องจาก Fab Labs ทั้งหมดแบ่งปันเครื่องมือและกระบวนการทั่วไปโปรแกรมจึงสร้างเครือข่ายทั่วโลกห้องปฏิบัติการกระจายเพื่อการวิจัยและการประดิษฐ์
สำหรับในประเทศไทยการส่งเสริมให้โรงเรียนมีการจัดตั้ง FAB LAB ขึ้นในโรงเรียนระดับมัฐยมมากขึ้นเพื่อการส่งเสริมเรื่อง STEM ศึกษา โดยการที่เป็นการนำเอา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ มาบูรณาการในรายวิชาโดยให้ครอบคุมเนื้อหาทั้ง 4 ด้าน เพื่อให้ผลเป็นรูปเป็นร่างจับต้องได้ไมได้มีแค่ในตำราเท่านั้น นักเรียนสามารถที่จะเข้ามาใช้งานเครื่องมือเหล่านี้เปรียบเสมือนแหล่งบริการทางการศึกษาเช่นห้องสมุดเป็นต้น
หัวเรือหลักในเรื่องนี้สำหรับประเทศไทย ก็จะเป็นศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติหรือ สวทช ที่ส่งเสริมเรื่องนี้อยู่ โดยเมื่อปีที่ผ่านมาได้มีการแจก อุปกรณ์การเรียนรู้สำหรับการเขียนโปรแกรมเพื่องานสมองกลฝังตัว ออกไปยังสู่โรงเรียน ทั้งหมด สองพันโรงเรียน โดยใช้ชื่ออุปกรณ์ตัวนี้ว่า kidBright และมีแนวโน้มว่าจะจัดสรรค์เพิ่มขึ้นอีก
การมอบเครื่องพิมพ์สามมิติทีพัฒนาโดยนักวิจัยไทยให้กับโรงเรียนที่มีความพร้อมเช่นเรียนในโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาของโรงเรียนในชนบท (ทสรช.) ภายใต้มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ
โรงเรียนในเขตการส่งเสริม EECi เช่นจังหวัดระยอง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี จำนวน 40 โรงเรียน ที่เคยได้รับอุปกรณ์ที่ชื่อว่า KidBright เข้ามาอบรมเพิ่มเติมและประเมินความก้าวหน้าด้วยการจัดประกวดโครงงาน ซึ่งจะมีขึ้นในเดือน มิถุนาที่จะถึงผมจะติดตามมาเล่าสู่กันฟัง
การอบรมนักเรียนแต่ละโรงเรียนจะต้องนำความรู้ที่จากในห้องเรียนปกติ และ ห้องอบรมมานำเสนอแนวคิดว่าจะสร้างโครงงานอะไร แล้วทำการเบิกอุปกรณ์ ภายในกิจกรรมก็จะมีนักวิชาการ เข้ามาช่วยในการให้คำแนะนำในการเขียนโปรแกรม กิจกรรมการสร้างหุ่นยนต์เพื่อการกระตุ้นให้เด็กๆ เกิดความสนใจที่จะศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อีกตัวคือ การประกอบหุ่นยนต์ BEAM จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เด็กๆ ได้สัมผ้สกับการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เอามาประกอบกันแล้วให้หุ่นทำงานโดยไม่ต้องเขียนโปรแกรมเช่น หุ่นเดินตามเส้น กิจกรรมที่สามเป็นกิจกรรม ออกแบบชิ้นงานด้วยเครื่องพิพม์ สามมิติ เพื่อให้ได้ชิ้นงาน หุ่นยนต์ไต่ราว ที่มาจากการออกแบบ ของเด็กๆ
กิจกรรมสามอย่างนั้นจัดขึ้นช่วงเดือนมีนาคม และให้เวลาเด็กๆ สามเดือนนำผลงานมานำเสนอกัน และนี้คือความก้าวหน้าในการพัฒนาเด็กๆ เพื่อกระตุ้นการเป็นนักประดิษฐ์ ส่งเสริมการเรียนรู้ STEM และจัดตั้ง FABLAB ในโรงเรียน
วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
มาตรการต่าง ๆ การตืนตัวเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศ
ปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาประเทศไทยมีมาอย่างยาวนาน จนประเทศไทยติดอันดับ 3 ประเทศในอาเซี่ยน(Thaipublica 2018, https://thaipublica.org/2018/06/rate-unlicensed-software-thai/)ที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ถึงขั้น ต้องเป็นประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ (PWL) แต่ระยะหลังช่วงสองปีที่ผ่านมากระแสการเข้าตรวจค้นการละเมิดลิขสิทธิ์ ดูเหมือนว่าจะหายไป อาจจะเป็นเพราะเมื่อปี 2560 ไทยได้เลือนอันดับกลับมาเป็นประเทศ จับตามอง ( WL) อ้างอิงจากข่าว (โพสทูเดย์ : 2560, https://www.posttoday.com/economy/530688) ปัจจุบันปัญหาในเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง ผมขอติดตามมาเขียนให้อ่านกัน ซึ่งการหาทางป้องกันแก้ไข เริ่มมีให้เห็นกันมาบ้างแล้ว ยกตัวอย่าง
หลายมหาวิทยาลัยใช้แอปพลิเคชั่นอัขราวิสุทธิ์ http://www.akarawisut.com/ เพื่อป้องกันการลอกผลงานทางวิชาการ ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยเข้าร่วม 96 มหาวิทยาลัย (https://www.facebook.com/Akarawisut) อักขาวิสุทธิ์ ให้บริการฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย โดย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ บริษัท อินสไปก้า จำกัด ทำให้ นักศึกษาหลายมหาวิทยาลัยตระหนักถึงเรื่องนี้
กรมทรัพย์สินทางปัญญา ประสานมือ ETDA ลงนาม MoU ด้านการบริหารจัดการสิทธิใน IP และการปกป้องคุ้มครองสิทธิใน IP บนอินเทอร์เน็ต ( ETDA : https://www.etda.or.th/content/intellectual-property-on-the-internet-mou.html )
หลังจากนั้นต่อมาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 (ไทยโพสต์ : https://www.thaipost.net/main/detail/28759?fbclid=IwAR3-CWeGslulySKadhXKVPKFCUwRR0yp3t6LyFwhS5hJNzboS8AZX5x9yeo ) กรมทรัพย์สินทางปัญญา ที่ได้ทำความร่วมมือกับ ETDA กำลังพัฒนาระบบ แมงมุม ซึ่งคาดว่าจะเสร็จภายในปีนี้ ระบบนี้ เพื่อให้ความคุ้มครองงานอันมีลิขสิทธิ์ เพราะแม้ลิขสิทธิ์จะเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ได้คิดค้นขึ้นมา แต่ถ้าผู้คิดค้นงานมายื่นแจ้งกับกรมฯ ก็จะทำให้มีหลักฐานว่าเป็นคนทำ จะเป็นประโยชน์กับผู้แจ้งเอง และต่อไปหากมีการละเมิดเกิดขึ้น ก็จะใช้เป็นหลักฐานได้
การลดการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในระดับอุดมศึกษา
หลายมหาวิทยาลัยใช้แอปพลิเคชั่นอัขราวิสุทธิ์ http://www.akarawisut.com/ เพื่อป้องกันการลอกผลงานทางวิชาการ ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยเข้าร่วม 96 มหาวิทยาลัย (https://www.facebook.com/Akarawisut) อักขาวิสุทธิ์ ให้บริการฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย โดย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ บริษัท อินสไปก้า จำกัด ทำให้ นักศึกษาหลายมหาวิทยาลัยตระหนักถึงเรื่องนี้
ภาครัฐโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา
กรมทรัพย์สินทางปัญญา ประสานมือ ETDA ลงนาม MoU ด้านการบริหารจัดการสิทธิใน IP และการปกป้องคุ้มครองสิทธิใน IP บนอินเทอร์เน็ต ( ETDA : https://www.etda.or.th/content/intellectual-property-on-the-internet-mou.html )
หลังจากนั้นต่อมาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 (ไทยโพสต์ : https://www.thaipost.net/main/detail/28759?fbclid=IwAR3-CWeGslulySKadhXKVPKFCUwRR0yp3t6LyFwhS5hJNzboS8AZX5x9yeo ) กรมทรัพย์สินทางปัญญา ที่ได้ทำความร่วมมือกับ ETDA กำลังพัฒนาระบบ แมงมุม ซึ่งคาดว่าจะเสร็จภายในปีนี้ ระบบนี้ เพื่อให้ความคุ้มครองงานอันมีลิขสิทธิ์ เพราะแม้ลิขสิทธิ์จะเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ได้คิดค้นขึ้นมา แต่ถ้าผู้คิดค้นงานมายื่นแจ้งกับกรมฯ ก็จะทำให้มีหลักฐานว่าเป็นคนทำ จะเป็นประโยชน์กับผู้แจ้งเอง และต่อไปหากมีการละเมิดเกิดขึ้น ก็จะใช้เป็นหลักฐานได้
การรวมตัวกันของ BSA เพื่อรับแจ้งการใช้ซอฟต์แวร์
กรุงเทพฯ 22 กุมภาพันธ์ 2562 – โอเพนซอร์ทูเดย์ได้รับจดหมายข่าว จาก BSA เรื่องการเพิ่มโอกาสสำหรับผู้แจ้งเบาะแสการใช้งานซอฟต์แวร์ผิดกฎหมาย ประเภทซอฟต์แวร์มูลค่าสูงที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม จะได้รับเงินรางวัลสูงขึ้นถึง 1 ล้านบาท
บีเอสเอ | พันธมิตรซอฟต์แวร์ จะเพิ่มเงินรางวัลถึง 1 ล้านบาทตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำหรับผู้แจ้งเบาะแสเกี่ยวกับองค์กรที่ใช้งานซอฟต์แวร์ผิดกฎหมาย หรือไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ โดยเน้นซอฟต์แวร์มูลค่าสูงที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ ซอฟต์แวร์ของ Altium, Autodesk, Aveva, Dassault Systémes, CNC MasterCAM, Siemens PLM และ Trimble (ซึ่งเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ Tekla) รวมถึงซอฟต์แวร์อื่นๆ
ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปแจ้งเบาะแสได้ทางเว็บไซต์ www.bsa.org โดยข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสจะถูกเก็บไว้เป็นความลับอย่างเคร่งครัด พร้อมรับสิทธิ์ได้รับเงินรางวัลสูงสุดถึง 1 ล้านบาท ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2562 เท่านั้น
บีเอสเอได้ปรับกลยุทธ์โดยมุ่งเน้นไปยังกลุ่มซอฟต์แวร์มูลค่าสูงที่ใช้งานอุตสาหกรรม เนื่องจากพบว่ามีบริษัทเป็นจำนวนมากที่ใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฎหมาย หรือไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมประเภทวิศวกรรม ออกแบบ การผลิต ยานยนต์ และอุตสาหกรรมการก่อสร้าง รวมถึงกลุ่มอื่นๆ
“ในขณะที่บางบริษัทปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและลงทุนในซอฟต์แวร์ที่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิถูกต้องครบถ้วนและมีความปลอดภัย แต่หลายบริษัทกลับยังคงใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฎหมาย หรือไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ” ดรุณ ซอว์เน่ย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก บีเอสเอ I พันธมิตรซอฟต์แวร์ กล่าว “สำหรับประเทศไทยและทั่วภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก เรามุ่งเน้นรณรงค์เพื่อการแข่งขันทางการค้าอย่างเสรีและเป็นธรรม เพื่อทำให้แน่ใจว่าบริษัทใช้ซอฟต์แวร์ที่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิถูกต้องครบถ้วน เงินรางวัลใหม่ที่เพิ่มมากขึ้นนี้ถือเป็นก้าวแรกสำหรับทิศทางนี้”
ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญของบีเอสเอ พันธมิตรซอฟต์แวร์ ประเทศไทย ได้ที่หมวดการแจ้งเบาะแสซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ บนเว็บไซต์ www.bsa.org และเฟซบุ๊คเพจ “รู้ทันภัยไซเบอร์” รวมถึงทวิตเตอร์และอินสตาแกรม
โอเพนซอร์สทูเดย์จัดงาน Document Freedom Day
เราจะเห็นว่าหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตื่นตัวอันมากขึ้น และ ในฐานะของคนทำสื่อ ก็ขอร่วมส่งเสริมด้วยการจัดสัมมนากึ่งปฏิบัติการ ซึ่งงานนี้จัดขึ้นก่อนประเทศอื่น ห้าวันตามความสะดวกของสถานที่ งานจัดวันที่ 22 วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม 2562 ตั้งแต่ 9.00-16.00 น. ณ ศูนย์จัดประชุมและสัมมนา เดอะ คอนเน็คชั่น
สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ลาดพร้าว ทางออก 4
วัตถุประสงค์การจัดงาน
- เพื่อส่งเสริมการใช้ซอฟต์แวร์มาตรฐานเปิดหรือ Open Document
- เพื่อส่งเสริมการใช้งานเอกสารที่เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส เช่น LibreOffice
- เพื่อเพิ่มความตระหนักในการไม่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
จัดโดย
โอเพนซอร์สทูเดย์
ลงทะเบียนฟรี หรือ สนับสนุนการจัดงานได้ที่
วิทยากร
อ.ภาณุภณ พสุชัยสกุล บรรณาธิการบริหารโอเพนซิอร์สทูเดย์ และ นักจัดรายการวิทยุทาง FM101
วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
ระวังข่าวปลอม
ช่วงนี้เรามักจะพบกับกระแสข่าวปลอมซึ่งน่าจะมีเยอะขึ้นเพราะเนื่องจากกำลังจะมีการเลือกตั้งเราก็มักจะเห็นเกมส์ต่าง ๆ ที่นำเสนอออกมาก ในอดีต พวกเขามักจะใช้อิเล็กทรอนิกส์เมล์ ในการส่งข่าวต่อๆกันไป แต่ในปัจจุบันเป็นยุคสังคมออนไลน์ รูปแบบของการปล่อยข่าวจึงเปลี่ยนไป
ยกตัวอย่างข่างการเคลือนไหวของรถถัง โดยมีภาพเป็นขบวนรถ ซึ่งถ้าติดตามข่าวก็จะพบว่าเป็นการย้ายยุทโธปกรณ์ ไปทำการฝึก ซึ่งก็มีข่าวจากวิทยุหลายคลื่นก็นำเสนอข่าวมาว่าอย่าตื่นเพราะเป็นการไปฝึก จากนั้น ข่าวปลอมก็สวมบทบาทว่ามีการปลดนายทหารออกมา
ซึ่งเราก็จะเห็นว่าข่าวจริงที่ออกมามักจะมีผู้ที่ต้องการหยิบข่าวนั้นออกมาบิดเบือนเสมอถ้าเป็นยุคนี้ก็จะออกแนวได้เปรียบเสียเปรียบกันทางการเมือง
1. ความต้องการทางพื้นฐาน เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย
2. ความมันคง เช่น ความปลอดภัย
3. การยอมรับ เช่น การยอมรับ ทางสังคม ความรุ้สึกดี ความรัก
4. เกียรติยศ ความมีชื่อเสียง
5. การประจักตน ความสำเร็จส่วนตัว
จากห้าขั้นที่กล่าวมาจะพบว่า ขั้นที่ 3 ของมนุษย์เป็นสิ่งที่หลายคนแชร์ก็คือความต้องการเป็นที่ยอมรับว่าฉันนั้นมีข่าวเร็ว ข่าววงใน รู้ก่อนใครๆ ก็เลยทำให้ไม่ทันได้ตรวจสอบความถูกต้อง
กระปุกดอทคอม
ไทยรัฐ
สนุกดอทคอม
หรือใช้ Google ค้นคำว่า ข่าวปลอมเราก็จะพบว่ามีหลายเว็บไซต์ทำการรวบรวมไว้เพื่อการตรวจสอบถึงแม้ว่าในเว็บไซต์ต่าง ๆยังไม่รวบรวมไว้ ก็ อดใจรอครับ หรือ ใช้วิธีค้นจากแหล่งที่มาโดยตรงเช่น เว็บของราชกิจจานุเบกษา http://www.ratchakitcha.soc.go.th โดยตรง
https://transparencyreport.google.com/
ไม่ใช่แค่รายงานการใช้งบประมาณการโฆษณาอย่างเดียว ยังมีการนำเสนอข้อมูลที่ทางภาครัฐต้องการจะremove ออกจากการค้นหาอีกด้วย
ยกตัวอย่างข่างการเคลือนไหวของรถถัง โดยมีภาพเป็นขบวนรถ ซึ่งถ้าติดตามข่าวก็จะพบว่าเป็นการย้ายยุทโธปกรณ์ ไปทำการฝึก ซึ่งก็มีข่าวจากวิทยุหลายคลื่นก็นำเสนอข่าวมาว่าอย่าตื่นเพราะเป็นการไปฝึก จากนั้น ข่าวปลอมก็สวมบทบาทว่ามีการปลดนายทหารออกมา
ซึ่งเราก็จะเห็นว่าข่าวจริงที่ออกมามักจะมีผู้ที่ต้องการหยิบข่าวนั้นออกมาบิดเบือนเสมอถ้าเป็นยุคนี้ก็จะออกแนวได้เปรียบเสียเปรียบกันทางการเมือง
ทำไมคนต้องแชร์ข่าว
มาสโลว์กล่าวว่า (Masloow's theoly) ความต้องการของมนุษย์ มีห้าขั้น1. ความต้องการทางพื้นฐาน เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย
2. ความมันคง เช่น ความปลอดภัย
3. การยอมรับ เช่น การยอมรับ ทางสังคม ความรุ้สึกดี ความรัก
4. เกียรติยศ ความมีชื่อเสียง
5. การประจักตน ความสำเร็จส่วนตัว
จากห้าขั้นที่กล่าวมาจะพบว่า ขั้นที่ 3 ของมนุษย์เป็นสิ่งที่หลายคนแชร์ก็คือความต้องการเป็นที่ยอมรับว่าฉันนั้นมีข่าวเร็ว ข่าววงใน รู้ก่อนใครๆ ก็เลยทำให้ไม่ทันได้ตรวจสอบความถูกต้อง
อย่าตกเป็นเหยื่อ
ข่าวปลอมจะสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่มีผู้ใดให้ความร่วมมือ เพราะเป้าหมายของข่าวปลอมก็เพื่อทำลายคู่ต่อสู้โดยอาศัยการกระจายข่าวทาง Social network โดยใช้วิธีใช้ภาพสื่อความหมาย จะโดยการตัดต่อภาพ แล้วกระจายข่างออกไป โดยการทำงานเป็นทีม เมื่อมีคนแชร์กันมาก ๆจะหาแหล่งรวบรวมข่าวปลอม
หลายสำนักข่าวตอนนี้ก็มีการรวบรวมข่าวปลอมเอาไว้ให้คอยตรวจสอบเพียงแค่เข้าเว็บของสำนักข่าวผมยกตัวอย่าง เช่นกระปุกดอทคอม
ไทยรัฐ
สนุกดอทคอม
หรือใช้ Google ค้นคำว่า ข่าวปลอมเราก็จะพบว่ามีหลายเว็บไซต์ทำการรวบรวมไว้เพื่อการตรวจสอบถึงแม้ว่าในเว็บไซต์ต่าง ๆยังไม่รวบรวมไว้ ก็ อดใจรอครับ หรือ ใช้วิธีค้นจากแหล่งที่มาโดยตรงเช่น เว็บของราชกิจจานุเบกษา http://www.ratchakitcha.soc.go.th โดยตรง
การค้นหาข่าวที่เป็นโฆษณาจากเฟสบุค
เฟสบุคเปิดโอกาศให้เราทำการสืบค้นได้ว่า ข่าวไหนเป็นข่าวที่มาจากการโฆษณา โดยเรามักจะเห็นคำว่าได้รับการสนับสนุน แต่เฟสบุคเองก็มีเครื่องมือในการค้นหาคลังโฆษณาเช่นกัน ที่ https://www.facebook.com/ads/archive/Google สร้างเครื่องมือรายงานการใช้เงิน
จากการเลือกตั้งล่าสุดของสหรัฐอเมริกา Google เองได้ทำการรวลรวมสถิติการใช้เงินในการโฆษณาหาเสียง โดยแบ่งเป็นรายรัฐ ผมอยากนำเสนอให้ Google ทำแบบนี้กับประเทศไทยด้วย โดยปัจจุบันหลายคนคิดว่าประเมินยากอย่างน้อยเราก็ยังเห็น ข้อมูลบางส่วนได้https://transparencyreport.google.com/
ไม่ใช่แค่รายงานการใช้งบประมาณการโฆษณาอย่างเดียว ยังมีการนำเสนอข้อมูลที่ทางภาครัฐต้องการจะremove ออกจากการค้นหาอีกด้วย
วิธีสร้างความตระหนักในองค์กร
ปัจจุบันหลายหน่วยงานเริมเอาวิธีการอบรมเข้ามาใช้โดยวิธีการส่งข่าว ปลอมมาหลอกกันภายในให้พนักงานแล้ว ดูวาจะมีใครตกเป็นเหยือบ้าง เมื่อพบเหตุการณ์จากเมล์ล่อลวง และจากนั้นก็จัดอบรมสร้างความตระหนักในเรื่องนี้ อันนี้เป็นหนึงตัวอย่างที่ ภายในหน่วยงานใช้วิธีสร้างความตระหนักกันภายใน
วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2562
DNS Flag Day ใครที่ต้องระวัง
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไปเว็บไซต์บางเว็บจะใช้งานไม่ได้ อันเนืองมาจากการประกาศให้เป็นวัน DNS Flagday ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ต้องท้าวความก่อนครับว่าการที่เราใช้งาน Internet ได้นั้นนอกจากจะต้องมีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันแล้วจะต้องมีที่อยู่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งเขาก็ใช้วิธีระบุด้วยหมายเลขซึ่งเราเรียกกันว่า IP Address แต่การที่มนุษย์จะสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ มนุษย์เองต้องจำหมายเลขนั้นให้ได้ แต่มันเป็นเรื่องยากที่เราจะต้องจำหมายเลขเหล่านั้น เขาจึงมีระบบที่เรียกว่า DNS หรือ Domain Name System โดยระบบนี้จะแปลชื่อโดเมนมาเป็นเลข ip address เปรียบเสมือนการบันทึกเบอร์โทรศัพท์ด้วยชื่อและเราก็ค้นเบอร์ของคนเหล่านั้นด้วยชื่อแล้วก็ไม่จำเป็นต้องจำหมายเลข
ในอินเตอร์เน็ตก็เช่นกัน DNS จะคอยทำหน้าที่นี้คอยเปลี่ยน ชื่อให้กลายเป็นหมายเลขโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องจดจำชื่อ ยกตัวอย่างเช่น www.opensource2day.com ก็จะมีชือ Domain ว่า opensource2day.com ส่วน www จะเป็นโดเมนย่อยหรือ subdomain ที่ทำหน้าทีระบุที่อยู่ของเว็บ ถ้าหากเป็นอีเมล์ ก็จะใช้ subdomain ว่า mail.opensource2day.com คนที่ดูแล subdomain ก็คือเจ้าของโดเมนหลักนั่นเอง
DNS ก็จะมีผู้เรียนรู้กันทั้งหมดตามโครงสร้าง เริ่มตั้งแต่ ระดับประเทศ และไล่ลงไปถึงเจ้าของโดเมน เช่น bangkok.go.th ระดับสูงของโดเมนนี้คือเจ้าของ .go.th ส่วนคำว่า bangkok ก็จะเป็นหน่วยงาน ในที่นี้ก็คือสำนักงานกรุงเทพมหานคร
ผู้ที่ต้องการจะมีชือโดเมนให้ตรงตามหน่วยงานก็จะต้อง ชำระค่าทำเนียบมรายปี กับ ผู้ให้บริการ
เนื่องจาก DNS ในระบบเก่านั้นใช้งานกันมาไม่ตำว่า 20 ปี มันก็จะมีผลเรื่องของความเร็วและมันจะช้าลงไปเรื่อง อีกทั้งโอเมนในระบบเก่า ประสบกับปัญหาเรื่องของการถูกโจมตีจนไม่สามารถให้บริการได้ ที่เรียกว่า DDOS ดังนั้นผู้ผลิดซอฟต์แวร์ในเรื่องของ ระบบ DNS จึงได้ปักธงว่า วันที่ 1 นี้จะ DNS ในระบบเก่าจะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ผู้ให้บริการ ที่รับผิดชอบเรื่องของ DNS จะต้องเปลี่ยนมาให้บริการในรูปแบบ EDNS
ระบบ DNS เดิมเริ่มใช้งานกันมาตั้งแต่ 1987 จนถึงปัจจุบัน ส่วน EDNS นั้นเริ่มใช้กันในปี 1999 จะเห็นว่าEDNSใช้กันมาสิบกว่าปีแล้ว ดังนั้นก็ไม่น่าจะเหลือใครที่ยังไม่เปลี่ยน แต่กลายเป็นว่าปัจจุบันยังมีผู้ใช้งานซอฟต์แวร์ DNS ในเวอร์ชั่นเก่าอยู่มาก เขาก็จึงตั้งธงว่า วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2019 จะต้องอัพเดทกันได้แล้ว เช่น
ตัวอย่างของชื่อซอฟต์แวร์ DNS
BIND ,Knot Resolver ,PowerDNS Recurs
การที่จะตรวจสอบว่า DNS ของเราจะมีปัญหาหรือไม่ให้เข้าไปที่ https://dnsflagday.net/
แล้วกรอกชื่อโดเมนดูครับว่าผ่านหรือไม่ผ่านถ้าไม่ผ่านก็ต้องทำการอัพเดทซอฟต์แวร์ของระบบทันทีหรือติดต่อผู้ให้บริการเว็บโฮสติง แต่ถ้าเป็นหน่วยงานของรัฐที่ดูแล โดเมนย่อยของตัวเองก็ต้องลองทดสอบดูและทำการอัพเดท หรือ อัพเกรดระบบ
ในอินเตอร์เน็ตก็เช่นกัน DNS จะคอยทำหน้าที่นี้คอยเปลี่ยน ชื่อให้กลายเป็นหมายเลขโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องจดจำชื่อ ยกตัวอย่างเช่น www.opensource2day.com ก็จะมีชือ Domain ว่า opensource2day.com ส่วน www จะเป็นโดเมนย่อยหรือ subdomain ที่ทำหน้าทีระบุที่อยู่ของเว็บ ถ้าหากเป็นอีเมล์ ก็จะใช้ subdomain ว่า mail.opensource2day.com คนที่ดูแล subdomain ก็คือเจ้าของโดเมนหลักนั่นเอง
DNS ก็จะมีผู้เรียนรู้กันทั้งหมดตามโครงสร้าง เริ่มตั้งแต่ ระดับประเทศ และไล่ลงไปถึงเจ้าของโดเมน เช่น bangkok.go.th ระดับสูงของโดเมนนี้คือเจ้าของ .go.th ส่วนคำว่า bangkok ก็จะเป็นหน่วยงาน ในที่นี้ก็คือสำนักงานกรุงเทพมหานคร
ผู้ที่ต้องการจะมีชือโดเมนให้ตรงตามหน่วยงานก็จะต้อง ชำระค่าทำเนียบมรายปี กับ ผู้ให้บริการ
เนื่องจาก DNS ในระบบเก่านั้นใช้งานกันมาไม่ตำว่า 20 ปี มันก็จะมีผลเรื่องของความเร็วและมันจะช้าลงไปเรื่อง อีกทั้งโอเมนในระบบเก่า ประสบกับปัญหาเรื่องของการถูกโจมตีจนไม่สามารถให้บริการได้ ที่เรียกว่า DDOS ดังนั้นผู้ผลิดซอฟต์แวร์ในเรื่องของ ระบบ DNS จึงได้ปักธงว่า วันที่ 1 นี้จะ DNS ในระบบเก่าจะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ผู้ให้บริการ ที่รับผิดชอบเรื่องของ DNS จะต้องเปลี่ยนมาให้บริการในรูปแบบ EDNS
ระบบ DNS เดิมเริ่มใช้งานกันมาตั้งแต่ 1987 จนถึงปัจจุบัน ส่วน EDNS นั้นเริ่มใช้กันในปี 1999 จะเห็นว่าEDNSใช้กันมาสิบกว่าปีแล้ว ดังนั้นก็ไม่น่าจะเหลือใครที่ยังไม่เปลี่ยน แต่กลายเป็นว่าปัจจุบันยังมีผู้ใช้งานซอฟต์แวร์ DNS ในเวอร์ชั่นเก่าอยู่มาก เขาก็จึงตั้งธงว่า วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2019 จะต้องอัพเดทกันได้แล้ว เช่น
ตัวอย่างของชื่อซอฟต์แวร์ DNS
BIND ,Knot Resolver ,PowerDNS Recurs
การที่จะตรวจสอบว่า DNS ของเราจะมีปัญหาหรือไม่ให้เข้าไปที่ https://dnsflagday.net/
แล้วกรอกชื่อโดเมนดูครับว่าผ่านหรือไม่ผ่านถ้าไม่ผ่านก็ต้องทำการอัพเดทซอฟต์แวร์ของระบบทันทีหรือติดต่อผู้ให้บริการเว็บโฮสติง แต่ถ้าเป็นหน่วยงานของรัฐที่ดูแล โดเมนย่อยของตัวเองก็ต้องลองทดสอบดูและทำการอัพเดท หรือ อัพเกรดระบบ
วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562
เจาะประเด็นสินค้าเทคโนโลยีในปี2019ในงาน CES 2019
จบลงแล้วงาน CES 2019 ซึ่งเป็นงานจัดแสดงสินค้าเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งงานนี้จัดไปแล้วเมื่อวันที่ 8 มกราและสิ้นสุดเมื่อวันที่ 11 มกราคม ที่เวกัส งานนี้จัดโดย Consumer Technology Association (CTA) มีสมาชิกกว่า 2000 บริษัทในสหรัฐอเมริกา ถึงแม้ว่างานนี้จะจัดอย่างยิ่งใหญ่แต่ก็ใช่ว่าบุคคลทั่วไปจะสามารถเข้าชมงานนี้ได้ผู้ที่เข้าชมงานนี้ได้เพราะมีเพียงแต่สื่อมวลชน บล็อกเกอร์และนักเขียนมากมาย พื้นที่ในการจัดแสดงในงานนี้ใช้พื้นที่กว่า 2.75 ล้านตารางฟุต มีสินค้าเข้าร่วมแสดง 24 หมวดสินค้า งานนี้ถึงแม้ว่าบุคคลทั่วไปจะไม่สามารถเข้าชมได้แต่ก็มีผู้คนที่มีสิทธิ์เข้าไปดูถึง 180,000 คนจาก 155 ประเทศรวมถึงสื่ออีก 6,500 คนที่เยี่ยมชม บริษัทที่จัดแสดงสินค้าในครั้งนี้ประมาณ 4,500 รายการ มาดูจุดเด่นของงาน
จุดเด่นของปี
จุดเด่นของงานในปีนี้ส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณ์ไร้สาย ปัญญาประดิษฐ์ จอภาพหรือทีวีขนาดใหญ่และความคมชัดสูง 8K การประมวลผลภาพที่รวดเร็ว รถยนต์ไฟฟ้า
Dell จอใหญ่มาก
จอภาพหรือทีวีขนาดหน้าจอใหญ่ 65” ถ้าพูดถึงความคมชัด ต้องระดับ 8k ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ใช้เทคโนโลยี OLED การออกแบบให้น่าใช้ไร้ขอบ เมาะกับนักพัฒนาและนักเล่นเกมส์
ภาพจาก techradar.com
อุปกรณ์ VR
หน้ากากสวมใส่สำหรับ VR เพื่อให้เสมือนจริง ก็ให้การแสดงผลที่ระดับ 8k ต้องไร้สายและที่เป็นเทรนก็คือมีกล้องเพื่อให้เห็นภายนอกหน้ากากและผสมกับความเป็น virtual
ภาพจาก techradar.com
ปัญญาประดิษฐ์
ปัญญาประดิษฐ์ อย่าง Alexa ของค่าย Amazon
ภาพจาก techradar.com
จะมีการนำมาใช้ในรถยนต์รุ่นใหม่ เพื่อพูดคุยโต้ตอบ รวมถึ รวมถึงใช้คำสั่งในการสั่งงานต่างๆได้ด้วยเนื่องจากคุณสมบัติของอเล็กซ่าที่เชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่นมากมายสามารถสั่งให้เปิดเพลงหรือแม่กระทั่งให้อ่านอีบุ๊ก ที่ซื้อไว้ใน kindle ของ Amazon ได้ด้วย
โน้ตบุ๊ค
Labtop ในปีนี้ส่วนใหญ่เน้นไปที่ ไปที่การออกแบบ เป็นเครื่องเล่นเกม เจาะกลุ่มเกมเมอร์ทั่วโลก เน้นความบาง เบา ใช้งานได้นาน
ภาพจาก techradar.com
การถ่ายภาพ
ในด้านของเทคโนโลยีการถ่ายภาพในปีนี้เราจะพบเห็นSDX ขนาด 1T ตัวแรกของโลกซึ่งจะมีวางจำหน่ายเร็วเร็วนี้ เพื่อให้รองรับกับ กล้องที่มีความคมชัดเป็นกล้องถ่ายวิดีโอขนาด 8k ในปีนี้
ภาพจาก techradar.com
Smart home
สมาร์ทโฮมหรือบ้านอัจฉริยะจะเป็นที่น่าสนใจและจะมีสินค้าออกมาเยอะมากยกตัวอย่างเช่นกระจกอัจฉริยะที่จะมีสไตล์มากกว่าที่คิดที่เรารู้คือว่ามันจะมีข้อมูลออกมาที่กระจกในขณะที่เรากำลังจะใช้กระจกครับเครื่องดูดฝุ่นล่าสุดก็จะแสงฟังฟังเอไอต้องไปด้วยนะครับเพิ่งพับผ้ารวมถึงก่อนให้แสงสว่างอัจฉริยะที่สามารถให้ความสว่างในกลางแจ้งได้ Google assistant ปีนี้ไปอยู่ในกระจกห้องน้ำเช่นเดียวกันข้อมูล information ต่างๆเกี่ยวกับสภาพอากาศหรือสิ่งที่เราจะถามกับ Google lassistant ข้อมูลก็จะโชว์ที่กระจกซึ่งเป็นปัจจุบันเป็นข้อความรูปภาพที่เป็นแอลอีดี
ภาพจาก techradar.com
เครื่องพับผ้า
เครื่องพับผ้าที่จะพับผ้าให้ภายในห้านาทีเหมาะกับคนที่เบื่อในการพับผ้า เสื้อผ้าเยอะ ว่ากันว่าราคาอยู่ที่ 980$
ภาพจาก techradar.com
ระบบความปลอดภัย DIY จาก Arlo
ตรวจจับการเคลื่อนไหว ตรวจจับคาร์บอนมอนอกไซด์ ตรวจจับการรั่วไหลของน้ำ จะทำให้บ้านของเราปลอดจากการถูกคุกคาม และสามารถสื่อสารกับอุปกรณ์สมาร์ทโฮมตัวอื่นๆเช่นของซัมซุง
ภาพจาก techradar.com
หุ่นยนต์ lovot
Lovot จาก Groove X ถู ถูกออกแบบมาให้เรียกความรักจากเจ้าของมันจะศึกษาพฤติกรรมและแสดงพฤติกรรมเหมือนสิ่งมีชีวิตและหุ่นยนต์ตัวนี้จะอยู่เป็นเพื่อนคุณเสมอผู้ที่อยู่คนเดียวหรือเป็นเพื่อนกับเด็กหุ่นยนต์ตัวนี้มีความซับซ้อนมากตอบสนองต่อการสัมผัส และซึ่งมันมีกล้องไมโครโฟน กล้องตรวจจับความร้อน ติดไว้ที่หัวราคาอยู่ที่ 598,000 เยนหรือประมาณ 7750 เหรียญ แต่ยังไม่ยืนยันว่าจะมีขายจริงเมื่อไหร่คาดว่าช่วงปี 2020
ภาพจาก techradar.com
สินค้าต่างๆ เหล่านี้ที่นำมาจัดแสดงโดยมากจะเป็นสินค้าที่จะออกมาขายในปีนี้ยังมีอีกมากที่ผมไมไ่ด้หยิบมานำเสนอ สามารถอ่านเนือหาเพิ่มเติมได้ที่ https://www.techradar.com/news/ces-2019
จุดเด่นของปี
จุดเด่นของงานในปีนี้ส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณ์ไร้สาย ปัญญาประดิษฐ์ จอภาพหรือทีวีขนาดใหญ่และความคมชัดสูง 8K การประมวลผลภาพที่รวดเร็ว รถยนต์ไฟฟ้า
Dell จอใหญ่มาก
จอภาพหรือทีวีขนาดหน้าจอใหญ่ 65” ถ้าพูดถึงความคมชัด ต้องระดับ 8k ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ใช้เทคโนโลยี OLED การออกแบบให้น่าใช้ไร้ขอบ เมาะกับนักพัฒนาและนักเล่นเกมส์
ภาพจาก techradar.com
อุปกรณ์ VR
หน้ากากสวมใส่สำหรับ VR เพื่อให้เสมือนจริง ก็ให้การแสดงผลที่ระดับ 8k ต้องไร้สายและที่เป็นเทรนก็คือมีกล้องเพื่อให้เห็นภายนอกหน้ากากและผสมกับความเป็น virtual
ภาพจาก techradar.com
ปัญญาประดิษฐ์
ปัญญาประดิษฐ์ อย่าง Alexa ของค่าย Amazon
ภาพจาก techradar.com
จะมีการนำมาใช้ในรถยนต์รุ่นใหม่ เพื่อพูดคุยโต้ตอบ รวมถึ รวมถึงใช้คำสั่งในการสั่งงานต่างๆได้ด้วยเนื่องจากคุณสมบัติของอเล็กซ่าที่เชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่นมากมายสามารถสั่งให้เปิดเพลงหรือแม่กระทั่งให้อ่านอีบุ๊ก ที่ซื้อไว้ใน kindle ของ Amazon ได้ด้วย
โน้ตบุ๊ค
Labtop ในปีนี้ส่วนใหญ่เน้นไปที่ ไปที่การออกแบบ เป็นเครื่องเล่นเกม เจาะกลุ่มเกมเมอร์ทั่วโลก เน้นความบาง เบา ใช้งานได้นาน
ภาพจาก techradar.com
การถ่ายภาพ
ในด้านของเทคโนโลยีการถ่ายภาพในปีนี้เราจะพบเห็นSDX ขนาด 1T ตัวแรกของโลกซึ่งจะมีวางจำหน่ายเร็วเร็วนี้ เพื่อให้รองรับกับ กล้องที่มีความคมชัดเป็นกล้องถ่ายวิดีโอขนาด 8k ในปีนี้
ภาพจาก techradar.com
Smart home
สมาร์ทโฮมหรือบ้านอัจฉริยะจะเป็นที่น่าสนใจและจะมีสินค้าออกมาเยอะมากยกตัวอย่างเช่นกระจกอัจฉริยะที่จะมีสไตล์มากกว่าที่คิดที่เรารู้คือว่ามันจะมีข้อมูลออกมาที่กระจกในขณะที่เรากำลังจะใช้กระจกครับเครื่องดูดฝุ่นล่าสุดก็จะแสงฟังฟังเอไอต้องไปด้วยนะครับเพิ่งพับผ้ารวมถึงก่อนให้แสงสว่างอัจฉริยะที่สามารถให้ความสว่างในกลางแจ้งได้ Google assistant ปีนี้ไปอยู่ในกระจกห้องน้ำเช่นเดียวกันข้อมูล information ต่างๆเกี่ยวกับสภาพอากาศหรือสิ่งที่เราจะถามกับ Google lassistant ข้อมูลก็จะโชว์ที่กระจกซึ่งเป็นปัจจุบันเป็นข้อความรูปภาพที่เป็นแอลอีดี
ภาพจาก techradar.com
เครื่องพับผ้า
เครื่องพับผ้าที่จะพับผ้าให้ภายในห้านาทีเหมาะกับคนที่เบื่อในการพับผ้า เสื้อผ้าเยอะ ว่ากันว่าราคาอยู่ที่ 980$
ระบบความปลอดภัย DIY จาก Arlo
ตรวจจับการเคลื่อนไหว ตรวจจับคาร์บอนมอนอกไซด์ ตรวจจับการรั่วไหลของน้ำ จะทำให้บ้านของเราปลอดจากการถูกคุกคาม และสามารถสื่อสารกับอุปกรณ์สมาร์ทโฮมตัวอื่นๆเช่นของซัมซุง
ภาพจาก techradar.com
หุ่นยนต์ lovot
Lovot จาก Groove X ถู ถูกออกแบบมาให้เรียกความรักจากเจ้าของมันจะศึกษาพฤติกรรมและแสดงพฤติกรรมเหมือนสิ่งมีชีวิตและหุ่นยนต์ตัวนี้จะอยู่เป็นเพื่อนคุณเสมอผู้ที่อยู่คนเดียวหรือเป็นเพื่อนกับเด็กหุ่นยนต์ตัวนี้มีความซับซ้อนมากตอบสนองต่อการสัมผัส และซึ่งมันมีกล้องไมโครโฟน กล้องตรวจจับความร้อน ติดไว้ที่หัวราคาอยู่ที่ 598,000 เยนหรือประมาณ 7750 เหรียญ แต่ยังไม่ยืนยันว่าจะมีขายจริงเมื่อไหร่คาดว่าช่วงปี 2020
ภาพจาก techradar.com
สินค้าต่างๆ เหล่านี้ที่นำมาจัดแสดงโดยมากจะเป็นสินค้าที่จะออกมาขายในปีนี้ยังมีอีกมากที่ผมไมไ่ด้หยิบมานำเสนอ สามารถอ่านเนือหาเพิ่มเติมได้ที่ https://www.techradar.com/news/ces-2019
วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2562
Project soli เซ็นเซอร์จับการเคลื่อนไหวของมือด้วยเรด้าร์ ได้รับอณุมัติจากสหรัฐอเมริกา
กลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง สำหรับ project Soli ของ google เนื่องจาก google ได้รับอณุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลสหรัฐในการใช้คลืน เรด้า เพื่อการจับความเคลื่อนไหวของมือ ที่เรียกว่า project Soli ต่อจากนี้ไปช่วงเดือนมีนาคม ก็จะมีการขอเพิ่มเติมในคลื่นวิทยุที่มีความถี่ 57 - 64 GHz ซึ่งเป็นความถี่ที่สูงมาก แต่คลื่นวิทยุความถี่นี้สามารถใช้งานบนเครื่องบินได้
Google เปิดเผยโครงการนี้เมื่องาน google I/O ช่วงปี 2016 โดยตัวชิฟ มีขนาด 5x5 mm เท่านั้น และชิฟตัวนี้มีการประมวลผลที่ 10000 เฟรมต่อวินาที โดยการส่งคลื่นเรด้าออกมาและสะท้อนกลับไปเป็นเฟรม ระดับการเคลื่อนไหวของนิ้วมือออกมาเป็น 3D ลองนึกภาพว่า ภาพยนต์ที่เราดูกัน เริ่มจาก 25 เฟรมต่อวินาทียังให้ภาพเคลื่อนไหวที่สมจริงมากดังนั้นการประมวลผลของชิฟ Soli sensor จะแม่ยำขนาดไหน
ลักษณะการทำงานของเรด้า คือ เมื่อ ส่งคื่นวิทยุออกไปมันจะสะท้อนกลับมาทำให้เราสามารถรู้ระยะวัตถุจากการสะท้อน และ ถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ จนสามารถ วาดวัตถุนั้นออกมาได้ ซึ่งเป็นที่นิยมกันในวงการ การบิน การทหาร การแพทย์ แต่สำหรับโปรเจคโซลิ คาดว่าจะนำมาใช้ในการควบคุมเสมือนจริง
การใช้เรด้าแทนการประมวลผมภาพจาก CCD ของกล้องเพราะ เรด้า ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของแสงสว่างดังนั้นในที่มือก็สามารถทำมือท่าทางได้
Soli เป็นโปรเจคที่นำไปใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้มากมายโดยที่ผู้ใช้งานจะทำท่าทางเสมือนกดปุ่มแต่ไปได้กดปุ่ม ทำท่าทางหมุนเม็ดมะยม นาฬิกาข้อมือ แต่ไม่ได้สัมผัสจริงเพียงใช้สองนิ้วมือสัมผัสกันเช่นเดียวกับการหมุนเม็ดมะยมที่นาฬิกา การปิดกุญแจ โดยไม่ต้องเสียบกุญแจ
ความแน่นยำของท่าทางจะเกิดได้เพราะมีการนำเอาเทคโนโลยี matchine learning มาใช้แปลการเคลื่อนไหวต่าง ๆ matchine learning เป็นส่วนหนึ่งของในวิทย์คอม ซึ่งพัฒนาการจากการประมวลผลรูปแบบหรือ pattern และทฤษฎีการคำนวนของปัญญาประดิษฐ์
ยกตัวอย่างการทำไปใช้ ต่อไปจะไปอยู่ใน นาฬิกาแน่นอน เครื่องเล่น game การนำไปใช้กับ Virtual Reallity (VR) อยู่ใน Smart Phone ในอนาคต กล่องถ่ายภาพเพื่อถ่ายภาพ เมื่อสามารถลดการกดปุ่มแต่ใช้ท่าทางแทน อุปกรณ์ที่ใช้งานกันน้ำ หรือ ใต้น้ำก็จะมีความลึก
Google เปิดเผยโครงการนี้เมื่องาน google I/O ช่วงปี 2016 โดยตัวชิฟ มีขนาด 5x5 mm เท่านั้น และชิฟตัวนี้มีการประมวลผลที่ 10000 เฟรมต่อวินาที โดยการส่งคลื่นเรด้าออกมาและสะท้อนกลับไปเป็นเฟรม ระดับการเคลื่อนไหวของนิ้วมือออกมาเป็น 3D ลองนึกภาพว่า ภาพยนต์ที่เราดูกัน เริ่มจาก 25 เฟรมต่อวินาทียังให้ภาพเคลื่อนไหวที่สมจริงมากดังนั้นการประมวลผลของชิฟ Soli sensor จะแม่ยำขนาดไหน
ลักษณะการทำงานของเรด้า คือ เมื่อ ส่งคื่นวิทยุออกไปมันจะสะท้อนกลับมาทำให้เราสามารถรู้ระยะวัตถุจากการสะท้อน และ ถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ จนสามารถ วาดวัตถุนั้นออกมาได้ ซึ่งเป็นที่นิยมกันในวงการ การบิน การทหาร การแพทย์ แต่สำหรับโปรเจคโซลิ คาดว่าจะนำมาใช้ในการควบคุมเสมือนจริง
การใช้เรด้าแทนการประมวลผมภาพจาก CCD ของกล้องเพราะ เรด้า ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของแสงสว่างดังนั้นในที่มือก็สามารถทำมือท่าทางได้
Soli เป็นโปรเจคที่นำไปใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้มากมายโดยที่ผู้ใช้งานจะทำท่าทางเสมือนกดปุ่มแต่ไปได้กดปุ่ม ทำท่าทางหมุนเม็ดมะยม นาฬิกาข้อมือ แต่ไม่ได้สัมผัสจริงเพียงใช้สองนิ้วมือสัมผัสกันเช่นเดียวกับการหมุนเม็ดมะยมที่นาฬิกา การปิดกุญแจ โดยไม่ต้องเสียบกุญแจ
ความแน่นยำของท่าทางจะเกิดได้เพราะมีการนำเอาเทคโนโลยี matchine learning มาใช้แปลการเคลื่อนไหวต่าง ๆ matchine learning เป็นส่วนหนึ่งของในวิทย์คอม ซึ่งพัฒนาการจากการประมวลผลรูปแบบหรือ pattern และทฤษฎีการคำนวนของปัญญาประดิษฐ์
ยกตัวอย่างการทำไปใช้ ต่อไปจะไปอยู่ใน นาฬิกาแน่นอน เครื่องเล่น game การนำไปใช้กับ Virtual Reallity (VR) อยู่ใน Smart Phone ในอนาคต กล่องถ่ายภาพเพื่อถ่ายภาพ เมื่อสามารถลดการกดปุ่มแต่ใช้ท่าทางแทน อุปกรณ์ที่ใช้งานกันน้ำ หรือ ใต้น้ำก็จะมีความลึก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)