วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ส่งท้ายปีเก่า กับ สรุป ข่าวปลอม และเว็บสื่อโซเชียลผิดกฏหมายปี 63 และปิดท้ายด้วย 29 ธันวาคมวัน Tick Tock Day


สรุปตัวเลขข่าวปลอมส่งท้ายปี 63 พบจำนวนข่าวที่ต้องคัดกรองกว่า 39 ล้านข้อความ และเข้าเกณฑ์ตรวจสอบ 7,420 เรื่อง ขณะที่เพจอาสาจับตาออนไลน์ ได้ใจประชาชนมีจำนวนแจ้งเบาะแสเฉลี่ยวันละ 280 เรื่อง โดย 3 อันดับแรกที่มีการแจ้งเข้ามามากที่สุด ได้แก่ ความมั่นคง, ความมั่นคง/การเมือง และพนันออนไลน์ โชว์ผลงานไตรมาส 4 ปิดเว็บพนันแล้ว 299 ยูอาร์แอล เงินหมุนเวียนกว่า 35,000 ล้านบาท ประกาศชวน 4 หน่วยงานในสังกัดเตรียมมอบบริการฟรี และส่วนลดค่าบริการเป็นของขวัญปี 64 สำหรับประชาชน

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวแถลงผลการดำเนินงานของกระทรวงฯ ในการปราบปรามข่าวปลอม และเว็บไซต์/สื่อสังคมออนไลน์ผิดกฎหมาย วันนี้ (22 ธ.ค.63) ว่า 

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย ได้รวบรวมข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.62 – 18 ธ.ค. 63 พบว่า มีข้อความข่าวที่ต้องคัดกรองทั้งหมด 39,209,284 ข้อความ โดยมีข้อความข่าวที่เข้าเกณฑ์ดำเนินการตรวจสอบ 20,829 ข้อความ และหลังจากคัดกรองพบจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 7,420 เรื่อง
โดยช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุดอันดับ 

1 คือ ระบบดักจับการสนทนาบนโลกออนไลน์ (Social Listening Tools) พบจำนวน 38,956,319 ข้อความ คิดเป็นสัดส่วนถึง 99.35% [เรืองนี้น่าสนใจว่าทุกวันนี้ ประชาชนถูกดักฟังจากรัฐแล้วใช่ไหม ดังนั้น จะดักฟังว่าบ่อน อยู่ที่ไหน ก็คงไม่น่าจะยาก ]

รองลงมาคือ บัญชีไลน์ทางการ เฟซบุ๊กเพจ และเว็บไซต์ทางการของศูนย์ฯ ตามลำดับ

ทั้งนี้ เมื่อแยกประเภทข่าวที่ต้องตรวจสอบ 7,420 เรื่อง มากกว่าครึ่ง หรือ 56% เป็นข่าวในหมวดสุขภาพ มีจำนวน 4,190 เรื่อง ตามมาด้วยหมวดนโยบายรัฐ 2,809 เรื่อง คิดเป็น 38% หมวดเศรษฐกิจ 266 เรื่อง คิดเป็น 4% และหมวดภัยพิบัติ 155 เรื่อง หรือประมาณ 2% ขณะที่ สัดส่วนข่าวปลอม ข่าวจริง และข่าวบิดเบือนในรอบปี 63 อยู่ที่อัตรา 7 ต่อ 2 ต่อ 1

นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ด้านเพจ “อาสา จับตา ออนไลน์” มีประชาชนร่วมแจ้งเบาะแสเว็บ/สื่อสังคมออนไลน์ผิดกฎหมายเข้ามา ตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค.-17 ธ.ค. 63 รวมทั้งสิ้น 39,300 เรื่อง หรือเฉลี่ยวันละ 280 เรื่อง โดยหลังจากตรวจสอบข้อมูล มีการเก็บหลักฐานนำส่งให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องตวจสอบและดำเนินการ 16,048 เรื่อง คิดเป็น 41% ส่วนอีก 23,222 เรื่อง หรือ 59%

 การตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบยูอาร์แอล/หลักฐาน โดยสาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีการลบโพสต์หรือยูอาร์แอลนั้นไปก่อนแล้วเนื่องจากเกรงกลัวการบังคับใช้กฎหมาย

ในส่วนที่มีการเก็บหลักฐานและส่งดำเนินการตามกฎหมาย พบว่า เป็นประเภทความผิด ด้านความมั่นคง 42.72% จำนวน 6,855 เรื่อง ตามมาด้วย ความมั่นคง/การเมือง 26.43% จำนวน 4,241 เรื่อง, การพนันออนไลน์ 17.73% จำนวน 2,845 เรื่อง, อื่นๆ 10.94% จำนวน 1,756 เรื่อง , การหลอกลวง 1.19% จำนวน 191 เรื่อง, ข่าวปลอม 0.63% จำนวน 101 เรื่อง และลามก 0.37% จำนวน 59 เรื่อง

สำหรับการแจ้งเตือนแพลตฟอร์มต่างๆ ตามมาตรา 27 แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ฯ ได้ดำเนินการไปแล้วทั้งสิ้น 7 ครั้ง จำนวน 8,443 ยูอาร์แอล แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 5,494 ยูอาร์แอล โดยปิดกั้นแล้ว 3,107 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 1,755 ยูอาร์แอล ปิดกั้นแล้ว 1,722 ยูอาร์แอล, ทวิตเตอร์ 674 ยูอาร์แอล ปิดกั้นแล้ว 63 ยูอาร์แอล และอื่นๆ จำนวน 520 ยูอาร์แอล ปิดกั้นแล้ว 133 ยูอาร์แอล

ในการรุกกวาดล้างเครือข่ายการพนันออนไลน์อย่างจริงจัง โดยตั้งแต่เดือน ก.ค. 63 ถึงปัจจุบัน ได้ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เร่งดำเนินการจนสามารถสืบสวน และดำเนินการจับกุมเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ มีคำสั่งศาลให้ระงับการแพร่หลายข้อมูลการพนันแล้ว จำนวน 1,711 ยูอาร์แอล

ขณะที่ ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ผลการปฏิบัติการปิดกั้นเว็บการพนันออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. – 17 ธ.ค. 63 ได้ดำเนินการปิดกั้นแล้ว 299 ยูอาร์แอล จับกุมผู้ต้องหาได้ 143 ราย คิดเป็นมูลค่าเงินหมุนเวียนกว่า 35,000 ล้านบาท

10 ข่าวปลอมที่คนแชร์มากที่สุด

อันดับ 1 ดื่มสไปรท์ใส่เกลือ แก้ท่องร่วง ท้องเสียได้ อันดับ 2 คลอรีนในน้ำประปาเปลี่ยนเป็นสารก่อมะเร็งเมื่อถูกความร้อน อันดับ 3 ใส่ผ้าอนามัยนาน ทำให้เป็นโรคมะเร็งปากมดลูก อันดับ 4 งดใช้ตู้ ATM ที่ไม่มีไฟกระพริบตรงที่เสียบบัตร อันดับ 5 น้ำมันเบนซินมีสารระเหยดูดพิษจากแมลงกัดต่อยหายใน 3-5 นาที อันดับ 6 จัดตั้งจังหวัดในประเทศไทยเพิ่ม รวมเป็น 83 จังหวัด อันดับ 7 ผู้ประกอบการที่ใช้ตราฮาลาลบนสินค้า ไม่ต้องเสียภาษี

อันดับ 8 มหัศจรรย์น้ำปัสสาวะ รักษาโรคแก้ปวดเมื่อย ช่วยให้ตาใสมองเห็นชัด อันดับ 9 บริษัทชื่อดังฉลองวันพิเศษ แจกบัตรกำนัล สินค้า และรางวัลต่างๆ และอันดับ 10 กรอกแบบสอบถามจากหน่วยงานของรัฐลุ้นรับของรางวัลฟรี

อายุของผู้ที่แชร์ข่าวปลอม

รายงานจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย เปิดเผยผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก รวบรวมระหว่างวันที่ 1 ม.ค. – 18 ธ.ค. 63 เกี่ยวกับพฤติกรรมการโพสต์และแชร์ข่าวปลอม ของชาวโซเชียลในไทย พบว่า มีจำนวนผู้โพสต์ข่าวปลอม 787,055 คน และผู้แชร์ข่าวปลอม 28,519,534 คน
ข้อมูลระบุว่า ประชาชนในช่วงอายุ 25-34 ปี มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายการเผยแพร่ข่าวปลอมมากสุด คิดเป็นสัดส่วนถึง 48.8% ส่วนกลุ่มอายุอันดับรองลงมา ได้แก่ 18-24 ปี, 35-44 ปี, 45-54 ปี และ 55-64 ปี ตามลำดับ โดยแบ่งกลุ่มตามเพศของพฤติกรรมเผยแพร่ข่าวปลอม มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ ผู้ชาย 51.8% และผู้หญิง 48.2% 
ขณะที่ อายุของผู้โพสต์ที่เข้าข่ายเป็นข่าวปลอม กลุ่มอายุ 25-34 ปี ยังนำเป็นอันดับ 1 คิดเป็น 48.9% ตามมาด้วย อายุ 18-24 ปี, 35-44 ปี , 45-54 ปี และ 55-64 ปี  ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย 53.0% ขณะที่ผู้หญิงอยู่ที่ 47.0%
ในด้านพฤติกรรมการแชร์ข่าวปลอม พบว่าอายุของผู้แชร์ที่เข้าข่ายเป็นข่าวปลอม เกินครี่งหรือประมาณ 53.3% อยู่ใน18-24 ปี อันดับรองลงมา คือ อายุ 25-34 ปี คิดเป็น 41.7% ตามมาด้วย อายุ 45-54 ปี และอายุ 55-64 ปี ประชาชนส่วนใหญ่ที่แชร์ข่าวปลอมเป็นผู้ชาย 49.4% ส่วนผู้หญิงอยู่ที่ 50.6%

ปีนี้คนไทยค้นหาอะไรกันบ้าง จาก google








Tick Tock Day 29 ธันวาคมคือวันอะไร

Tick Tock Day เป็นวันสำคัญเพื่อจะเตือนว่างานอะไรที่ยังทำไม่เสร็จ ในขณะที่กำลังจะสิ้นปี อะไรที่วางแผนไว้แล้วยังไม่ได้ทำเช่นการวางแผนภาษี การโอนทรัพย์สินให้ลูกหลาน ซึ่งต้องใช้ในการวางแผนภาษี การตรวจสอบตัวเองว่าได้ทำตามที่วางแผนที่จะอ่านหนังสือให้จบ

ที่สำคัญในวันนี้อีกอย่างคือการวางแผนเป้าหมายในปีถัดไปว่าจะทำอะไร

ประวัติของ Tick Tock Day

วันนี้ถูกกำหนดโดย Ruth และ Thomas Roy เจ้าของเว็บไซต์ wellcat.com และเป็นนักแสดง ผลงานที่เคยแสดง เช่น เรื่อง 12 Monkeys และเป็นนักจัดรายการวิทยุ พวกเขา กำหนดวันพิเศษไว้ 80 วัน 

และบังเอิญว่าวันที่ 29 เป็นวันที่เขากำหนดว่าเป็นวัน Tick Tock และมันตรงกับชื่อ ของ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียวีดีโอ TiK Tok ที่มีประเด็นกันมาทั้งปี



วิธีฉลองวัน TickTock

เขาบอกว่าวันนี้ควรหยุดเศร้าหยุดกังวน หยุดผิดหวังกับเรื่องที่ผ่านมาทั้งปี อย่าไปเศร้ากับเรื่องที่ผ่านมาแล้วยังทำไม่เสร็จ ให้เดินหน้าวางแผนทำในปีถัดไป

หลายคนบอกว่าในเมื่อชื่อก็คล้ายกับ Tik Tok แพลตฟอร์มวีดีโอบนมือถือ เราก็ควรจะหยิบมือถือขึ้นมาแล้วแล้วโพสต์วีดีโอแล้วบอกไปว่าปีหน้าตั้งใจจะทำอะไร

อ้างอิง

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ซานตาคลอสส่งของขวัญให้เด็กๆ แล้วปีนี้เด็กๆเขียนจดหมายถึงซานต้า ว่าอย่างไร ของขวัญส่งมาได้อย่างไร

 ทุกๆปี เด็กๆ จะเขียนจดหมายถึงซานตาคลอสกัน เด็กๆ ส่งไปที่ 123 ถนนเอลฟ์  ขั้วโลกเหนือ 88888 แล้วเด็กๆก็จะได้รับของขวัญจากซานตาคลอส พวกเราเชื่อเรื่องนี้หรือ ไม่ บางคนบอกว่า ของขวัญก็มาจาก พ่อ แม่ ของเด็กๆ เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบของขวัญตามที่ได้เขียนจดหมายถึงแซนตาคลอส ในประเทศไทยก็มีเรื่องเล่าติดตลกว่า ปีนี้ ซานตาคลอส น่าจะมาช้าไป 14 วันเพราะต้องถูกควบคุมอยู่ใน State quarantine

ผมอยากเล่าเรื่องนี้โดยได้รับแรงบันดลใจจากบทความใน นิวยอร์คไทม์ เพราะปีนี้เป็นปีที่ผู้คนทั่วโลก พบกับความยากลำบากของการระบาดของ corona virus แล้วเด็กๆ ที่พ่อแม่ของเขา อาจจะได้รับการลดเงินเดือน หรือ ออกจากงาน ว่าเด็กๆ เขียนจดหมายถึงแซนต้ากันว่าอย่างไรบ้าง

เมื่อเด็กๆ ส่งจดหมายไปถึงแซนต้า ตามที่อยู่แล้วทำไมเขาถึงได้รับของขวัญนั้นจริง ๆ ผมจะมาเฉลยว่าวันนี้แซนต้ามีอยู่จริง เพราะโครงการ Operation Santa ทำให้รู้ว่า ปีนี้มีเด็กๆเขียนจดหมายถึงซานตาคลอส 23,000 ฉบับ สามารถ เข้าไป ดูได้ที่เว็บ https://www.uspsoperationsanta.com/

บริการไปรษณีย์ของสหรัฐอเมริกาเป็นผู้รับผิดชอบจดหมายของประเทศ หลายพันคนถูกส่งไปยังซานตาคลอส ถึงขั้วโลกเหนือในแต่ละปี ภารกิจของโปรแกรม USPS Operation Santa (USPS ย่อมาจาก  United States Postal Service)ในการตอบจดหมายเหล่านี้

เด็กๆเขียนถึงซานต้า ว่าอย่างไรบ้าง นี้เป็นตัวอย่าง

“ ปีนี้ค่อนข้างลำบากเพราะโครนา” เธอเขียน “ ฉันหวังว่าจะได้ชุดเลโก้สักชุดเพราะแม่บอกว่าเธอไม่สามารถหาอะไรให้ฉันได้ในวันคริสต์มาสเพราะเธอไม่ได้รับค่าจ้างมากนัก”

มีเด็ก ๆ หลายคนพูดว่า 'ซานต้าคุณหาวิธีรักษาได้ไหม' หรือ "ซานต้าพ่อแม่ของฉันตกงาน" "

“ เนื่องจากโควิด -19 คริสต์มาสนี้ฉันจะไม่ได้รับของขวัญเพราะเรากำลังดิ้นรนเรื่องเงิน” แอชลีย์อายุ 14ปีจากแคลิฟอร์เนียผู้ขอบัตรของขวัญ Sephora และไฟ LED สำหรับห้องนอนของเธอเขียน “ พ่อแม่ของฉันไม่มีงานทำจริงๆ”

คุณแม่ลูกสี่คนหนึ่งในรัฐอิลลินอยส์ Glenda เขียนว่าชั่วโมงทำงานของเธอลดลงเพราะโรคระบาดและเธอกำลังดิ้นรน “ ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้โดยหวังว่าจะให้ลูก ๆ ของฉันมีเทศกาลคริสต์มาสธรรมดาในปีนี้ด้วยความช่วยเหลือจากคุณ” 


โครงการนี้เริ่มมาได้อย่างไร

เมือ 108 ปีก่อนจดหมายต่างๆที่ส่งถึงซานต้า ไม่ได้รับความสนใจมันถูกวางไว้เฉยๆ ปี 1912 ได้เกิดโครงการ USPS Operation Santa โดยบุรุษไปรษณีย์ ชื่อ Frank Hitchcock ได้เปิดห้อง จดหมายของซานต้า (santa mail room) เป็นครั้งแรก โดยอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ท้องถิ่นเปิดจดหมายเหล่านี้ให้พนักงานอ่านและตอบกลับ

1940 USPS Operation Santa Opens to the Public มีจดหมายหลั่งไหลเข้ามา และโครงการนี้ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไป องค์กรการกุศล บริษัท และบุคคลทั่วไปทั่วประเทศเข้าร่วมทั้งหมด

2017 USPS Operation Santa Goes Online USPS มุ่งมั่นที่จะทำให้ประสบการณ์เป็นดิจิทัลเพื่อให้ผู้คนสามารถมีส่วนร่วมและรับจดหมายได้มากขึ้น ในปี 2560 โปรแกรมออนไลน์เริ่มต้นในนิวยอร์ก



2019 2019 USPS Operation Santa Expands โครงการนี้ได้ขยายไปทั้วอเมริกา ทุกคนสามารถเข้ามาร่วมเติมเต็มในสิ่งต่าง ๆ ได้

2020 USPS Operation Santa Hits the Big Screen สารคดี Dear Santa ฉายรอบปฐมทัศน์ทั่วโลกพร้อมพาผู้ชมไปทัวร์ที่อบอุ่นของประเพณีวันหยุด 100 ปีนี้ ในโรงภาพยนตร์และออนดีมานด์ 4 ธันวาคมนี้




ผมเลือกเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังเพราะ เห็นว่าครอบครัวชาวอเมริกัน ยังสอนให้ลูกๆเขียน จดหมาย วาดรูปลงจดหมาย ส่งถึงซานต้า และยังทำกันเรื่อยมา ไม่ทิ้งการเขียนจดหมาย และเนื้อหาในปีนี้ แทบจะทั่วทุกมุมโลก ได้รับผลกระทบจาก โคโรน่า ไวรัสกันหมด และวันนี้ ประเทศไืทยของเราก็ เกิดการระบาดรอบใหม่ เลย ไม่อยากให้ทุกคนเครียดกันครับ  

บ้านเราก็มี ลุงซานต้า เป็นตู้ปันสุข ถ้าจะเอามาใช้กันอีกคงไม่มีใครว่าอะไร

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ประเทศไทยจะไปดวงจันทร์ได้มั๊ย

 เป็นเรื่องที่พูดคุยกันทั้งโซเชียล ทันทีที่ “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประกาศว่า เร็ว ๆ นี้ ประเทศไทยจะเป็นชาติที่ 5 ของเอเชีย ที่สามารถผลิตยานอวกาศและส่งไปโคจรรอบดวงจันทร์ได้ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการไม่เกิน 7 ปี ระหว่างการเปิดโครงการ “วัคซีนเพื่อคนไทย” ที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิซียูเอ็นเทอร์ไพรส์ โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วานนี้ (14 ธ.ค.63)

ปรากฏว่าโลกออนไลน์มีผู้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเผ็ดร้อน เช่น ประเทศไทยยังมีความ จำเป็นอีกมากมาย เช่นวัคซีน โควิด ถนนพระราม 2 ที่ยังสร้างไม่เสร็จสักที 

ความเห็นในเรื่องนี้คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะการสำรวจดวงจันทร์ให้งบประมาณสูงมากเป็นสิ่งที่หลายคนกังวล แต่สรุป ออกมา ได้ว่าคนส่วนใหญ่เป็นกังวลเรื่อง คอร์รัปชั่น กับเงินงบประมาณที่ใส่ลงไป

NASA เฉพาะโครงการอพอลโลทั้งหมด ใช้เงินไปรวมกันทั้งสิ้น 25,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ในยุคนั้นก่อนที่จะหยุดโครงการไป 48 ปี

มาดูเรื่องความพร้อมของหน่วยงานและกำลังคนของประเทศไทยที่มีความสามารถในเรื่องนี้กันครับ 

ไทยมี สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการวิจัยและค้นคว้าด้านดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ และด้านบรรยากาศวิทยาของประเทศ ซึ่งเป็นการวิจัยค้นคว้าทางด้านฟิสิกส์และองค์ประกอบของเทหวัตถุต่างๆ เช่น ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ กาแล๊กซี่ เอกภพ รวมถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับบรรยากาศของโลกเรา ซึ่งถือว่าเป็นการวิจัยขั้นพื้นฐานหรือเรียกว่าวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์

ประเทศไทยมี สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) มีดาวเทียมสำรวจภูมิศาสตร์โดยกำลังเตรียมการยิงดาวเทียม THEOS-2 ดาวเทียมสำรวจ จะแลดูเรื่องของระบบแผนที่ ที่ใช้ในระบบราชการ อาทิ การพัฒนาระบบการผลิต การบริการภาพถ่าย และภูมิสารสนเทศจากดาวเทียมที่อยู่ในเครือข่ายกว่า 30 ดวง, การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการใช้งานภูมิสารสนเทศจากดาวเทียม, การพัฒนาระบบประยุกต์ใช้แผนที่และภูมิสารสนเทศจากภาพถ่ายดาวเทียมตามภารกิจของหน่วยปฏิบัติต่างๆ รวมถึงการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศในการสร้างดาวเทียมและอุตสาหกรรมอวกาศของประเทศอีกด้วย

หน่วยงานนี้มีนักวิจัยมากมายและมีการฝึกอบรม Space Science School ให้นักวิจัยเริ่มมาตั้งแต่ปี 2559 และร่วมมือกับนักวิจัยและวิศวกรรุ่นใหม่ในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิคและจากทั่วโลก จะได้รับความรู้โดยตรงจากวิศวกรที่สังกัดองค์กรอวกาศจากทั่วโลก ในการกำหนดพันธกิจด้านอวกาศในเชิงลึก ทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เพื่อกระตุ้นให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศของนักวิจัยรุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนากิจการด้านอวกาศของแต่ละประเทศในอนาคต

ปี 2557 เรามีนักวิจัยหญิงไทยคนแรกชื่อว่า “แน็ต” พีรวรรณ วิวัฒนานนท์ ได้ไปทำงานที่ NASA ท่ามกลางกระแสที่  NASA ปลดพนักงานออก และ ที่ผ่านมาเรามีนักวิจัยไทย เคยไปทำงานกับ NASA ที่คุ้นชื่อ

ปี 2557 เช่นกันเราก็มี วิศวกรดาวเทียม ซึ่งนับเป็นหญิงไทยคนแรก พิรดา เตชะวิจิตร์  ที่สร้างประวัติศาสตร์การเดินทางไปสู่อวกาศกับ “แอ็กซ์ อพอลโล” โดยมีผู้ผ่านเข้ารอบไปเข้าร่วมอบรมทั้งหมด 107 คน จาก 62 ประเทศทั่วโลก มาจากเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน เวียดนาม อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ นอกนั้นเป็นยุโรปกับอเมริกัน แต่คัดให้เหลือแค่ 23 คน แบ่งเป็นหญิง 2 คน ได้แก่ ไทยกับนอร์เวย์ ชาย 21 คน ไปทดสอบทั้งหมด 5 วัน

เมื่อเดือนสิงหาคม 2563 เด็กไทยเจ๋งไม่แพ้ใครในโลก เมื่อเหล่าน้องๆ นักเรียนมัธยมศึกษาโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย (ก.ท) ได้สร้างดาวเทียมภายใต้ชื่อ “BCCSAT-1” ซึ่งถือเป็นดาวเทียมดวงแรกที่เป็นผลงานของเยาวชนไทย เป็นดาวเทียมขนาดเล็ก และกำลังส่งเข้าสู่อวกาศในเดือน มีนาคม.2564 นี้ โดยใช้ฐานส่งจรวดที่คาซัคสถาน รัฐเซีย โครงการนี้ โรงเรียนทำ MOU กับ มหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และ บริษัท astroberry

ทำไมดวงจันทร์จึงเนื้อหอมมีหลายประเทศขึ้นไปสำรวจ เนื่องจากมีรายงานทางวิทยาศาสตร์ ว่าบนดวงจันทร์มีแร่ "ไอโซโทปฮีเลียม-3" หรือเรียกสั่นๆ ว่า ฮีเลียม-3 ที่สามารถนำมาใช้เป็นพลังงานสะอาด ไม่เกิดกัมมันตรังสี ใช้ผลิตไฟฟ้าได้เหมือน พลังงานนิวเคลีย [https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/1503165] อีกแหล่งอ้างอิง http://www.nst.or.th/article/article492/article49203.html ที่กล่าวถึงเรื่องนี้เช่นกัน

ผมคิดว่าเรื่อง การสำรวจอวกาศ หรือส่งจรวดไปดวงจันทร์กับรัฐบาลไทย รัฐไม่ควรลงทุนในเรื่องนี้ รัฐควรลงทุนเรื่องการศึกษา ให้โอกาศเด็กไทยเข้าถึงเทคโนโลยีอวกาศ ตามความเห็นของต่างๆในโซเชียล แต่รัฐควรสนับสนุนให้เอกชนลงทุน จะลงทุนกันเองหรือร่วมมือกับนักลงทุนต่างประเทศ และ ก็สร้างเองไม่ใช่ซื้ออย่าเดียว  เปิดโอกาศให้นักวิจัยเอกชนให้ได้รับความสะดวก ซึ่งปัจจุบัน การสร้าง เครื่องพิมพ์สามมิติด้วยตัวเองยังต้องเอาไปขึ้นทะเบียน หรือ การจะถือครองโดรนที่สร้างเองยังต้องรวบรวมใบเสร็จต่างๆมาขึ้นทะเบียน 

ปัจจุบันเทคโนโลยี อวกาศถือได้ว่าเป็นที่สนใจของ นักลงทุนต่างชาติ เช่น SpaceX ที่กำลังทำ ยานอวกาศที่สามารถกลับมาลงจอดได้ การสร้าง Internet ดาวเทียม วงโครจตำที่ต้องใช้ดาวเทียม  12,000 ซึ่งใช้งบลงทุน เกือบ 1900 ล้านเหรียญสหรัฐ และได้ขึ้นวงโครจรไปแล้ว กว่า 100 ดวง น่าจะสั่นสะเทือนวงการอินเตอร์เน็ต 5G ไม่น้อย SpaceX บริษัทเทคโนโลยีด้านอวกาศของ Elon Musk เตรียมที่จะระดมทุนก้อนใหม่ คาดว่าจะปิดดีลได้ในเดือนมกราคม 2564 ที่จะถึงนี้ และอาจทำให้มูลค่าบริษัทพุ่งสูงไปถึง 92,000 ล้านเหรียญสหรัฐ 

อีกโครงการ Blue Origin ของมหาเศรษฐี Jeff Bezos ที่เป็นผู้สนับสนุนเงินทุนในการพัฒนาโครงการด้วยตัวเองใช้เวลาแค่ สี่ปี ก็สามารถทดลองการยิงจรวจได้แล้ว เป็นอีกโครงการที่เป็นคู่แข่งกับ SpaceX

ข้อมูลอ้างอิง

https://www.thairath.co.th/scoop/1938120

http://www.nst.or.th/article/article492/article49203.html

https://www.posttoday.com/ent/celeb/276628

https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/1503165

การแข่งขันทาง อวกาศ

https://brandinside.asia/space-flight-for-spacex-is-not-blue-origin-it-is-china/

https://brandinside.asia/spacex-prepared-to-raise-new-funding-maybe-valuation-up-to-92-billion-usd-15-dec-2020/

 


วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2563

เมื่อ กขค. ประกาศเกณฑ์มากำกับแพลตฟอร์ม ฟู้ดเดลิเวอรี่ ร้านอาหาร

สถานการณ์โควิดที่ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคหันมาสั่งอาหารกลับไปทานที่บ้านมากขึ้น ร้านค้าต่างๆก็หันมาใช้บริการ ฟู้ดเดลิเวอรี่ ในการส่งอาหาร ทำให้ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค) ต้องออกแนวทางเพื่อป้องกัน ร้านค้ารายย่อยถูกเอาเปรียบ และ (กขค) ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 23 พฤษจิกายน และจะมีผลบังคับใช้อีก30วัน

ตัวอย่างร้านค้าที่อาจจะถูกเอาเปรียบ
การเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ค่าตอบแทน หรือผลประโยชน์อื่น ๆ ที่ไม่เป็นธรรม   ร้านค้ารายย่อยอาจถูกเอาเปรียบจากการขึ้นราคาค่าทำเนียมโดยไม่มีเหตุจำเป็น
ร้านค้าอาจะถูกเอาเปรียบในการผูกขาดทำสัญญากับรายใดรายหนึงเท่านั้นห้ามทำสัญญากับรายอื่น
การเรียกเก็บค่าส่งเสริมการขายในโอกาสพิเศษทางการตลาด (Promotion)ที่เป็นการเรียกเก็บโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร

สำหรับรายะเอียดเพิ่มเติม อ่านได้ที่เว็บไซต์ราชกิจานุเบกษา  http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/274/T_0014.PDF

ลองมาวิเคราะห์จากการที่ กขค ออกประกาศแนวทางพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบธุรกิจให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มรับและส่งอาหารกับผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ภาครัฐรีบทำเรื่องนี้ก่อน เพราะปัจจุบันการแข่งขั้นเพื่อดึงลูกค้าไว้นั้นมีสูงมาก และ ผู้ให้บริการบางราย มีทุนจากต่างประเทศกัน ทั้งนั้น การแข่งขั้นส่งฟรีทำให้ผู้บริโภคได้เปรียบ แต่ ร้านค้ารายย่อยอาจจะทีต้นทุนที่มากขึ้น

เมื่อมีคำถามว่าภาครัฐน่าจะเป็นผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ ความเห็นส่วนตัว ภาครัฐไม่ควรลงมาทำเรื่องนี้เองเพราะการแข่งขั้นต้องใช้เงินลงทุนสูงหลักพันล้าน และอีกทั้งถ้าหากรัฐจะทำเอง ก็จะมาในรูปแบบรัฐวิสาหกิจ ดังนั้นจะมีเรื่องของการต้องออก พรบ สำหรับหน่วยงานนี้ และ จะต้องมีเรื่องของสวัสดิการ ต่างๆ ขึ้นมา และหลายครั้งที่รัฐเข้ามาทำอะไรแข่งกับเอกชน พบว่าเอกชนที่มักจะเกิดปัญหาตามมา เช่นผูกขาดรัฐกับรัฐซื้อขายกันเองซึ่งมีให้เห็นกันอยู่  รัฐควรมีหน้าที่กำกับดูแล อย่างที่ทำตอนนี้อยู่ก็ดีแล้ว ให้เอกชนเขาแข่งขั้นกัน และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในบริษัทเกิดใหม่  บริษัทไปรษณีย์ไทย ก็มีแนวคิดที่จะทำมาก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อส่งอาหารชื่อดังจากท้องถิ่นมาในกรุงเทพ หรือ ส่งผลไม้ตามฤดูกาล ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของกิจการของรัฐ และตอนนี้ ก็มี ธนาคารเข้ามาลงทุนกับ ฟู้ดเดลิเวอรี่ อีกด้วยเช่น แอป Robinhood ที่ลงทุนโดย SCB x10

ช่วงนี้การแข่งขั้นสูงสาเหตุเกิดจากโครงการคนละครึ่งของรัฐบาลที่ออกค่าใช้จ่ายให้ 150 บาทต่อวันพบว่าคนส่วนใหญ่ใช้จ่ายในเรื่องของการซื้ออาหาร และ สินค้าในร้านธงฟ้า จึงเป็นเหตุให้ นอกจากธุรกิจร้านอาการจะคึกคักแล้ว กิจการส่งอาหารก็คึกคักไปด้วย 

ปัจจุบันผู้ให้บริการ ฟู้ดเดลิ้เวอร์รี่ มีรายใหญ่ ๆ ดังนี้ 
บทความจากแบนด์อินไซต์ https://brandinside.asia/food-delivery-competition-in-thailand/

Line Man Wongnai 

ก่อนหน้านี้ไม่นาน LINE MAN เพิ่งจะประกาศควบรวมกิจการกับ Wongnai กลายเป็น LINE MAN Wongnai โดยได้รับเงินลงทุนประมาณ 3,300 ล้านบาท ให้บริการในพื้นที่ 13 จังหวัด และกำลังขยายไปต่างจังหวัดในอนาคต สำหรับ Line man แถวหัวหิน มีร้ารร่วมรายการน้อย

จุดเด่นของ LINE MAN Wongnai

มีร้านอาหารให้เลือกกว่า 100,000 ร้าน โดยได้ข้อมูลร้านอาหารจากแอปพลิเคชัน Wongnai ที่มีจุดเด่นเรื่องการรวบรวมรีวิวร้านอาหารจากผู้ใช้งานในไทย รวมถึงสามารถกดสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน Wongnai ได้เลย ค่าส่งถูก 3 กิโลเมตรแรกส่งฟรี (สำหรับร้านที่ร่วมเป็น Partner)

สั่งอาหารจากร้านที่อยู่ไกลๆ เกิน 10 กิโลเมตรได้ ไม่จำกัดระยะทาง

เชื่อมต่อกับ Rabbit LINE Pay ที่คนกรุงเทพฯ นิยมใช้งานกันอยู่แล้ว จ่ายเงินสะดวก

GRAB Food

Grab เป็นหนึ่งในบริษัทสตาร์ทอัพที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบริษัทหนึ่งในสิงคโปร์ เรียกได้ว่าเป็น ยูนิคอร์น ด้วยมูลค่ากว่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4.4 แสนล้านบาท โดยเริ่มให้บริการในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2013 ปัจจุบันกล่าวได้ว่า Grab เป็นผู้นำในตลาด Food Delivery ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ซึ่งนอกจากบริการ Food Delivery ทาง Grab ก็ยังมีบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการขนส่งให้บริการอยู่ด้วย เดิมในประเทศไทย Grab มีคู่แข่งสำคัญคือ Uber ก่อนที่ Grab จะควบรวม Uber (ซึ่งมีบริการ Ubereat) ทำให้ลดทอนการแข่งขันในตลาดลงไปอยู่ระยะเวลาหนึ่ง ผมได้มาลองเปิด GRAB Food ที่หัวหิน ใช้งานได้

จุดเด่น Food Delivery ของ GrabFood

มี Partner ที่เป็นผู้ขับ 100,000 คน ทั่วประเทศ มีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย ทุกร้านอาหารบน GrabFood ชำระเงินผ่าน บัตรเครดิต เดบิต และ GrabPay ได้ มีส่วนโปรโมชันเป็น Code ส่วนลด ร่วมกับบัตรเครดิต ธนาคาร หรือเครือข่ายโทรศัพท์ต่างๆ ค่าบริการจัดส่ง 10 บาท ในระยะทาง 5 กิโลเมตรแรก

Gojek

Gojek เป็นยูนิคอร์นจากประเทศอินโดนีเซีย เป็นซูเปอร์แอป ที่มีแทบทุกบริการอยู่ในนั้น ช่วงแรกที่เข้ามาไทยใช้แบรนด์ Get ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2562 ก่อนจะรีแบรนด์ใหม่กลับมาเป็น Gojek ส่วนหนึ่งน่าจะทำให้การทำตลาดภายใต้แบรนด์ Gojek กับกลุ่มประเทศใกล้เคียง คือ อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และ เวียดนาม มีพลังและความชัดเจนมากขึ้น ไม่ต้องแยกแบรนด์ให้วุ่นวาย

จุดเด่น Food Delivery ของ Gojek

Get เดิม ที่มีผู้ใช้งานสั่งอาหารกว่าหนึ่งล้านครั้ง ในระยะเวลาหลังเริ่มให้บริการเพียงปีกว่าๆ
ค่าบริการจัดส่ง 10 บาท ในระยะทาง 5 กิโลเมตรแรก
เป็นบริการ Food Delivery ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ ดังนั้นจึงมีโปรโมชันมาก
พัฒนาแอปพลิเคชันในคอนเซป Super Application แอปฯ เดียว ทำได้ทุกอย่าง (ผมลองทดสอบใช้แอปที่ หัวหินยังใช้แถวนี้ไม่ได้)

Foodpanda 

เป็นบริษัทในเครือของ Delivery Hero มีจุดเริ่มต้นจากประเทศเยอรมนี ให้บริการใน 50 ประเทศทั่วโลก ส่วนในประเทศไทย Foodpanda เริ่มให้บริการตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา ปัจจุบันในเขตกรุงเทพ จะเห็น Foodpanda อยู่บ้างทั่วไป แต่ถ้าไปตามหัวเมืองในต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่ Foodpanda คือผู้ให้บริการหลัก แสดงว่ากลยุทธ์ธุรกิจของ Foodpanda คือ ป่าล้อมเมือง เน้นตลาดต่างจังหวัดมากกว่า

จุดเด่น Food Delivery ของ Foodpanda

มีพื้นที่การให้บริการครอบคลุมพื้นที่ต่างจังหวัดมากที่สุด กว่า 62 จังหวัด ในทุกๆ ภูมิภาค จัดโปรโมชันส่งฟรี หรือค่าส่ง 40 บาท ราคาเดียว  มาลองใช้แอปที่ หัวหินเจอร้านอาหารเยอะเลย

Robinhood

Robinhood น้องใหม่แห่งวงการ Food Delivery ดำเนินการภายใต้บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด (Purple Ventures) บริษัทน้องใหม่ในเครือเอสซีบี เท็นเอกซ์ (SCB 10X) โดยมีเงินลงทุนกว่า 100 ล้านบาท

ความน่าสนใจของ Robinhood คือ การประกาศว่าไม่มีค่าธรรมเนียม GP ที่จะเก็บกับร้านอาหาร แปลว่าให้ใช้บริการฟรี และมีการเคลียร์เงินเข้าบัญชีภายใน 1 ชั่วโมง เพื่อให้ร้านอาหารมีเงินหมุนเวียนในธุรกิจ ส่วนการส่งอาหารใช้ความร่วมมือกับ Skootar บริการคนขับรถของคนไทย ส่วนรายได้ของ Robinhood คาดว่าจะมาจากบริการทางการเงินที่ร่วมกับ SCB ในอนาคต ต่างจังหวัดยังไม่สามารถใช้บริการได้

จุดเด่น Food Delivery ของ Robinhood

เป็น Food Delivery ทางเลือก ของคนไทย 100%
ใช้กลุยุทธ์ที่ไม่มีการแข่งขันด้านราคา
ต้องการเป็นทางเลือกให้ร้านอาหาร โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียม GP
เคลียร์เงินเข้าบัญชีของร้านอาหารภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยว่า 

สำหรับทิศทางของตลาดธุรกิจจัดส่งอาหารไปยังที่พักในช่วงที่เหลือของปี 2563 นี้ ภายหลังการระบาดของโควิด-19 ได้คลี่คลาย และธุรกิจร้านอาหารกลับมาเปิดให้บริการ ส่งผลทำให้ปริมาณความหนาแน่นของการสั่งอาหารไปยังที่พักจะไม่ได้สูงเมื่อเทียบกับช่วงการระบาดของโควิด-19 แต่ยังสูงกว่าก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 (แต่หากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศกลับมามีการระบาดอีกครั้ง ก็มีโอกาสที่ธุรกรรมจะปรับสูงขึ้น) และทำให้ทั้งปี 2563 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า จำนวนครั้งของการจัดส่งอาหารจะอยู่ที่ 66- 68 ล้านครั้งหรือขยายตัวสูงถึงร้อยละ 78.0-84.0 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

 ขณะที่ความนิยมในการใช้บริการสั่งอาหารไปยังที่พัก (Food Delivery) ผ่านแอพพลิเคชั่นออนไลน์ ดึงดูดให้มีผู้เล่นรายใหม่ที่นำเสนอรูปแบบการทำธุรกิจที่ต่างจากเดิมให้เข้ามาแข่งขัน ซึ่งจะยิ่งยกระดับการแข่งขันในตลาดผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจัดส่งอาหารที่เดิมถูกขับเคลื่อนโดยผู้เล่น 4 รายหลักให้รุนแรงขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคยังมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับส่วนลดที่ได้รับและความหลากหลายของร้านอาหารบนแพลตฟอร์ม ดังนั้น การเข้ามาแบ่งฐานตลาดของผู้บริโภคและสร้างฐานพันธมิตรทางธุรกิจของผู้ให้บริการรายใหม่คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย ส่งผลให้ส่วนแบ่งทางการตลาดระหว่างผู้เล่นเดิมและผู้เล่นใหม่ในช่วงที่เหลือของปี 2563 ต่อเนื่องจนถึงต้นปี 2564 อาจไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มรายเดิมคงเร่งรุกไปสู่การเป็น Super Application

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2563

นายกรัฐมนตรีเปิดงาน Gov Cloud

 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดงาน“Gov Cloud 2020” The Future of Digital Government  ซึ่งจัดโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) สํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  (สดช.) ร่วมกับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT  โดยมี นายพุทธิพงษ์  ปุณณกันต์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นำคณะผู้บริหารกระทรวงฯ และหน่วยงานภายใต้กำกับ ให้การต้อนรับ

G-Cloud คือโครงสร้างพื้นฐานบนอินเทอร์เน็ตแบบใช้ทรัพยากรร่วมกัน โดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ให้บริการแก่หน่วยงานภาครัฐด้วยเทคโนโลยี Cloud ซึ่งเก็บทรัพยากรไว้บนอินเทอร์เน็ต สามารถเรียกใช้งานผ่านเครือข่ายได้ตลอดเวลาจากระยะไกล ปรับขนาดได้ตามความต้องการของผู้ใช้ มีการจัดสรรทรัพยากร ลดภาระการบริหารจัดการ และมีความมั่นคงปลอดภัยสูง



โอกาสนี้ พลเอกประยุทธ์ฯ ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “Gov Cloud : Digital Foundation for Government Transformation” เพื่อร่วมสะท้อนภาพการรวมพลังภาครัฐและร่วมกำหนดทิศทางขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลและสร้างนวัตกรรมบริการภาครัฐรูปแบบใหม่บน Gov Cloud หรือระบบคลาวด์กลางภาครัฐซึ่งขณะนี้โครงการฯ ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐเข้าใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบบของหน่วยงานภาครัฐหลายแห่งได้เริ่มมีการใช้งานจริงในการแก้ไขปัญหาและให้บริการต่างๆ นายกรัฐมนตรียังได้เยี่ยมชมผลงานต่างๆของหน่วยงานรัฐที่ผลงานเด่นได้พัฒนาระบบงานราชการให้ทันสมัยและให้บริการประชาชน  ได้แก่ 

1.สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) พัฒนาระบบ EEC-OSS โดยเป็นช่องทางคัดกรองและอำนวยความสะดวกให้นักลงทุน สามารถเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำด้วยบริการแบบ One-Stop Service https://eec-oss.com/



2. กรมการขนส่งทางบก ผลงาน ‘Smart Bus Terminal’ ระบบติดตามรถโดยสารประจำทาง แสดงตารางการเดินรถแบบเรียลไทม์ของสถานีขนส่ง 81 แห่งทั่วประเทศ ผ่าน GPS Tracking ที่ติดตั้งบนรถโดยสารประจำทางทุกคัน สามารถตรวจสอบข้อมูลการเดินทางได้ตลอดเวลา


แต่พอโหลดแอปมาลองดูยังไม่มีตารางรถไฟ แต่สามารถค้นตารางเดินรถโดยสาร บขส ได้



3. ตำรวจภูธรภาค 8 พัฒนาระบบโครงการภาค ๘ “4.0” ในแอปพลิเคชัน POLICE 4  ด้วย 4 ฟังก์ชั่นที่โดดเด่น คือ Crime Mapping แผนที่อาชญากรรมหลายมิติ,  CCTV Mapping แผนที่กล้องวงจรปิดทุกตัว,   Red Box QR Code ใช้แทนสมุดตรวจแบบเดิม  และ Stop Walk Talk and Report ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่แบบเรียลไทม์



4.สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พัฒนาระบบ Digital Healthcare Platform เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมข้อมูลสาธารณสุขซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกระบบที่เกี่ยวกับผู้ป่วยโควิด-19 มาไว้ส่วนกลาง ทำให้สามารถจัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ


5. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน จัดตั้งศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติ หรือ NEIC (National Energy Information Center) ซึ่งเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยน เชื่อมโยง บูรณาการและเผยแพร่ข้อมูลด้านพลังงานให้กับทุกภาคส่วน เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์ คาดการณ์ด้านพลังงานได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ


พลเอกประยุทธ์ฯ กล่าวว่า จากความสำเร็จขั้นแรกของ Gov Cloud ก้าวต่อไปของรัฐบาลดิจิทัลมีเป้าหมายยกระดับระบบงานภาครัฐบน Gov Cloud ไปสู่รูปแบบ Government as a Platform หรือแพลตฟอร์มกลางภาครัฐ ที่จะเป็นศูนย์รวมอำนวยความสะดวกเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน  รวมไปถึงการต่อยอดจัดทำบริการระบบข้อมูลเปิดภาครัฐ (Open data) ที่จะเพิ่มศักยภาพและความโปร่งใสของข้อมูลภาครัฐในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ข้อมูลที่ครอบคลุมในทุกภาคส่วนต่อไป   

 

ปิดท้ายรายการด้วย แอป Smart Vote

 
 


แอปนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับ Gov Cloud แต่เกี่ยวข้องกับ การเลือกตั้ง อบจ เพราะจะเป็นแอปที่รวบรมข้อกฏหมายต่างๆที่เกี่ยวข้อง ครั้งแรกที่ได้ยินข่าวนี้ คิดว่าเป็นแอปที่ช่วย ลงคะแนนเลือกตั้ง แต่ก็ยังเตรียมเครื่องมือช่วย หาหน่วยเลือกตั้ง

แต่ ณ วันที่ 1 ธันวายังไม่สามารถตรวจสอบหน่วยเลือกตั้งได้ว่าจะมีสิทธิเลือกตั้งที่หน่วยไหน