วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สรุป IoT Trends 2018

ในปีนี้ที่หลายคนคาดการกันว่า IoT จะมีปรากฏการหลายอย่างซึ่งเราจะเห็นว่าปีนี้ อุปกรณ์ทีเชือมต่ออินเตอร์เน็ต หรือ สื่อสารกับ โมบายมากขึ้น แต่เอาเข้าจริง ๆ ปีนี้สิ่งของที่เชื่อมต่ออินเตอร์ ดูเหมือนจะเติบโตไปอย่างช้าๆ มาดูว่ามีอะไรที่เติบโตขึนไปบ้าง

Smart Home
ปีนี้ smart home จะชัดเจนกว่าใครเราจะเห็นคอนโด บ้าน ใส่อุปกรณ์ อัจฉริยะมาก ขึ้นในหลายๆ โครงการ อุปกรณ์ที่นิยมก็จะเป็นข้อมูลการใช้ไฟฟ้า การเปิดปิดอุปกรณ์ เช่น smart Plug เครื่องฟอกอากาศปรับการไหลเวียนอากาศในบ้าน

Smart fram
การเติบโตของ Smart Farming ในปีนี้ดูเหมือนไม่ค่อยเติบโตเท่าที่ควร เพราะการลงทุนกับอุปกรณ์ยังสูงอยู่ ยอดขายโดรนที่ใช้พ่นยา ก็มีขายได้บ้าง แต่การพ่นยาก็ไม่ได้ทำบ่อยเท่ากับการรดน้ำ  เกษตรกรยังคงใช้วิธีตั้งเวลาเปิดปิดมากกว่าที่จะติด อุปกรณ์ อัจฉริยะ แบบให้รถน้ำเอง แต่ก็มีแนวโน้มว่า การปลูกต้นไม้บนที่พักอาศัยเช่นคอนโดที่นิยมเลี้ยงแคนตัส จะมีการใช้อุปกรณ์ มือ ถือสั่งรถน้ำต้นไม้ มีอุปกรณ์ที่ขายแล้วเช่น กระถางต้นไม้จาก mi เครื่องรถน้ำขนาดเล็กสั่งการผ่านมือถือ  เครื่องฟักไข่อัตโนมัติ

Smart Health
ในด้านสุขภาพเราจะเห็นการลงทุนเรื่อง Iot กันอยู่บ้างเพื่อต้องการรับข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยในรถฉุกเฉิน และส่งข้อมูลของอุปกรณ์เหล่านั้นไปยังโรงพยาบาล เช่นตำแหน่งรถเพื่อส่งข้อมูลในการบริหารการเดินทางของรถที่มีผู้ป่วยติดไฟแดง อุปกรณ์การแพทย์รุ่นเก่า ก็มีการศึกษาถึงการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต เพื่อส่งข้อมูลไปถึงโรงพยาบาล

IIoT
ในด้านอุตสาหกรรม ช่วงนี้อาจจะยังไม่เห็นทิศทางเท่าที่ควรว่าจะเติบโตไปในทางใดแต่เครื่องจักรรุ่นใหม่จะมีการเก็บและส่งข้อมูลกันแล้ว เพื่อตรวจสอบการทำงานย้อนหลัง

I beacon และ  Eddystone
อุปกรณ์ที่คาดว่าจะได้รับความนิยมในปี 2018 แต่ ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรอย่างเช่น อุปกรณ์  ที่เรียกว่า BLE เพราะการใช้งานผู้รับต้องเปิด สัญญาณบูลทูธตลอดเวลา และที่สำคัญ BLE ต้องมีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ อาจจะสอง ปีแล้วค่อยเปลี่ยนก็จะไม่ค่อยสะดวกในการใช้งานแต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ยังอยู่ในเทรนที่น่าจะเติบโตได้


วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

5G มาแน่ จะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง

ไม่ต้องคาดเดาครับว่าความเร็วของอินเตอร์เน็ตที่ใช้กับโทรศัพท์มือถือนั้นจะก้าวเข้าสู่ยุค 5G อย่างแน่นอน ความเร็วที่มากขึ้น เมื่อเทียบกับเทคโนโลยี 4G จะทำให้การโอนถ่ายข้อมูลมีความเร็วอย่างน้อย 1 Gbps (กิกะบิตเปอร์เซค)แต่ 5G มีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดที่ 20 Gbps และมีความหน่วงเวลาที่น้อยกว่า 10 มิลลิวินาที

การมี 5G จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมหลายด้านเพราะบริการใหม่ที่อยู่ในระบบคลาวจะทำให้เกิดสิ่งที่ในอดีตนั้นทำไม่ได้  เช่นการเรนเดอร์ภาพแล้วส่งกลับมาทางผู้ใช้ ก็จะทำได้แบบเรียวไทม์ และคาดการณ์กันว่าในยุค 5G แอพพลิเคชั่นต่างๆจะอยู่บนคลาวเกือบทั้งหมดแทบจะไม่ต้องติดตั้งลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์

การเติบ การเติบโตของอินเตอร์เน็ตอ๊อฟติง (Iot) จะชัดเจนมาก จะเห็นแอพพลิเคชั่นบางอย่างที่เคยสั่งการจากภายนอกและเปิดปิดอุปกรณ์ภายในบ้านจะไม่หน่วงเวลา ซึ่งปัจจุบันยังมีความหน่วงเวลาอยู่ตามความเร็วของเครือข่าย เมืออัตราการหน่วงเวลานั้นเพียงแค่ 0.5 มิลลิวินาที  การสั่ง การสั่งเปิดปิดไฟจะใช้เวลาในลักษณะเรียวไทม์

ในโรงงานอุสาหกรรม ที่มีการใช้หุ่นยนต์จะสามารถเชื่อมต่อกันบนคลาวน์จะเป็นแบบเรียวไทม์ก็จะทำให้สำนักงานใหญ่ที่อยู่ในต่างประเทศสามารถตรวจสอบระบบงานและวัดประสิทธิภาพของการผลิตในโรงงานได้แบบเรียวไทม์  สามารถควบคุมการผลิตและอัพเกรดซอฟต์แวร์ได้รวดเร็ว

รถยนต์ก็จะมีปกรณ์เซ็นเซอร์เชื่อมต่อกับคราวด์ เพื่อการควบคุม และสื่อสาร นั่หมายความว่ารถยนต์ไร้คนขับก็จะเป็นจริงมากยิ่งขึ้น อุปกรณ์ GPS สำหรับรถยนต์จะเชื่อมต่อคราว์ดและประมวลผลเลือกเส้นทางที่เหมาะสม

อุปกรณ์ประเภทกล้อง CCTV ซึ่งปัจจุบันการเชื่อมต่อเพื่อให้ได้ภาพความคมชัดสูงยังคงต้องพึ่งพาสายเคเบิล แต่ต่อไปในอนาคต กล่องวงจรปิดตามท้องถนน ก็จะเชื่อมต่อเข้ากับระบบ Smart ซิตี้ผ่านระบบไร้สายส่งข้อมูลอย่างรวดเร็วทำให้กล้องซีซีทีวีนั้นจะติดตั้งเข้าไปถึงในซอยหรือได้บริเวณครอบคุมมากขึ้นได้ หรือที่เข้าถึงได้ยากเพราะไม่ต้องเดินสายไกล

เมื่อพูดถึง Iot อุปกรณ์เซ็นเซอร์เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตจะเยอะมากที่คาดการณ์กันว่าการส่งข้อมูลจะเป็นแบบสตรีม ไม่ต้องแบ่งเป็นส่ง 10 วินาทีครั้งซึ่งเราจะเรียกว่า Edge computing จะทำงานร่วมกับ คราว์ด Big data และ AI จะ

เราจะได้เห็น เราจะได้เห็นคนใช้แว่น AR มากขึ้นเนื่องจากว่าเขาสามารถที่จะประมวลผลรูปภาพส่งมาแสดงที่แว่นได้อย่างรวดเร็วซึ่งการประมวลผลแบบเรียวไทม์จะถูกนำมาเชื่อมต่อกับการวิเคราะห์ข้อมูลหรือร่วมกับหุ่นยนต์ จะทำให้ผู้ใช้งานนั้นมีความราบรื่นมากขึ้น

ยกตัวอย่างบริษัทLockheed Martin มีการใช้เออาร์เพื่อสร้างเครื่องบินเจ็ตเอฟสามห้า ด้วยการแสดงผลบนแว่นที่คนงานสวมใส่ทำให้เห็นได้ว่าแต่ละชิ้นส่วนควรวางลงในตำแหน่งใดทำให้เพิ่มผลผลิตได้ถึง 30% เพิ่มความแม่นยำขึ้นถึง 96%

เท่าที่กล่าวมาจะเห็นว่า 5G มนุษย์จะทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ในโรงงานอุตสากรรมเพราะว่าเครื่องจักรก็จะสื่อสารกับเครื่องจักรด้วยกันเองอย่างรวดเร็วและเครื่องจักรก็จะส่งข้อมูลมายังมนุษย์ได้อย่างรวดเร็วเช่นกันและประมวลผลร่วมกับ ปัญญาประดิฐษ์มากขึ้น

เครืองโทรศัพท์คงต้องเปลี่ยน สำหรับมือถือที่รองรับ 4.5G แล้วเช่น iPhone 6s / 6s Plus ขึ้นไป, Huawei Mate 8 ขึ้นไป, Samsung Galaxy S6 ขึ้นไป, LG G4 ขึ้นไป และ HTC One 9 ขึ้นไป

แหล่งที่มา จากรายงานของ พันเอก ดร. เศรษฐพงค์  มะลิสุวรรณ สามารถอ่านฉบับเต็มได้ที่ http://www.nbtc.go.th/News/Information/32534.aspx