วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ไมโครซอฟต์กำลังจะทำ defender สำหรับ android , ios และ Linux

สถานการณ์ ไวรัสคอมพิวเตอร์ รุนแรงไม่แพ้กับไวรัสในมนุษย์เหมือนกัน ก็คือ ไวรัสคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันไวรัส ที่เราเคยพูดกันว่า mac หรือ Apple ไม่ติดไวรัส Linux ไม่ติดไวรัส แต่ในปัจจุบัน ไวรัสสามารถติดต่อผ่าน เว็บไซต์ผ่านการโฆษณาหลอกลวงต่าง ๆ ติดต่อกันผ่าน link ที่ส่งต่อๆกันผ่าน line เพื่อลักลอบขโมยข้อมูล บัญชีธนาคาร หรือ ทำให้การทำงาน ผิดพลาด หาก ติดไปถึงเครื่อง ของผู้ใช้งาน

ในปีที่ผ่านมาไมโครซอฟต์ได้เปิดตัว EDR สำหรับ  macOS และได้รับการตอบรับอย่างดี และได้พยายามที่จะทำให้สามารถใช้งานเพิ่มเติมผ่านระบบปฏิบัติการอื่นด้วย

ไมโครซอฟต์เปิดเผย ที่งาน RSA conference 2020 เขากำลังจะสร้าง Defender ระบบปฏิบัติการ Linux ออกมาแล้ว และภายในปีนี้ จะตามมาด้วย android และ  ios

หลังจากที่ไมโครซอฟต์ ถูกกล่าวหามานานว่าระบบปฏิบัติการ windows เป็นต้นเหตุของการเผยแพร่ไวรัสเพราะเนื่องจากผู้ใช้ทั่วไปไม่ได้ ติดตั้งซอฟต์แวร์ antivirus หากจะติดตั้งต้องซื้อเพิ่มเติมจากค่ายซอฟต์แวร์อื่นมาทำการติดตั้ง สำหรับระบบปฏิบัติการ  linux ถึงจะมี  firewall ให้ติดตั้งแต่น้อยคนที่จะทำการติดตั้งเพิ่มเติม อีกทั้ง ClamAV ของ Linux จะใช้ได้กับ desktop แต่ก็ยังไม่สามารถครอบคลุมไวรัสใหม่ๆได้ทันสมัย

การปล่อย Defender สำหรับ Linux เป็นความร่วมมือกันของ ubuntu linux และ ไมโครซอฟต์ที่ co-technical กันเรื่อง subsystem ของ windows สำหรับ Defender  บน linux สามารถใช้ได้กับ Linux หลายค่ายเหมือนกัน เช่น redhat Enterprise, debian, CentOS, SUSE ,Oracle Enterprise Linux

ผู้ใช้งานทั่วไปติดไวรัสได้อย่างไร
โดยมากก็จะติดมาจากการ copy ไฟล์ต่าง ๆ ผ่าน USB-drive ผ่านช่องทาง e-mail , การคลิก link ที่เชิญชวนต่าง ๆ ผ่านทุกช่องทางการสื่อสาร หลีกเลี่ยงการ crack software เพราะก่อน crack จะต้องปิดการทำงานของ antivirus ความรุนแรงของ ไวรัส ก็จะมีตั้งแต่ ก่อกวน ไปจนถึง เข้ารหัสเครื่องและเรียกค่าไถ่ บางตัวก็สามารถใช้ซอฟต์แวร์ antivirus ถอดรหัสได้บางตัวก็ไม่สามารถทำได้ 

เมื่อพูดถึง RSA conference แล้วก็ต้องเล่าว่างานนี้เป็นงานอะไร RSA conference 2020 เป็นงานประชุมวิชาการที่เกียวกับความปลอดภัยทาง cyber โดย RSA เป็นชื่อ ขั้นตอนวิธีสำหรับเข้ารหัสด้วยกุญแจดิจิตอลแบบอสมมาตร หรือ  Public Key encryption ปัจจุบันถูกนำมาใช้ในโครงสร้างพื้นฐานการเข้ารหัสและลายมือชื่อดิจิทัล โดยนักคณิตศาสตร์ สามคน  รอน ริเวสต์ (Ron Rivest) อาดี ชามีร์ (Adi Shamir) และเล็น แอเดิลแมน (Len Adleman) ที่ MIT โดยที่ RSA มาจากนามสกุลของทั้ง 3 คน สมัยที่พวกเขาเรียน ปริญญาเอกที่ MIT เมื่อปี เมื่อ พ.ศ. 2520 และทาง MIT จดสิทธิบัตรไว้เมื่อปี 2526 และสิทธิบัตรหมดอายุไปเมื่อปี 2543


อ้างอิง
https://techcommunity.microsoft.com/t5/microsoft-defender-atp/microsoft-defender-atp-for-linux-is-coming-and-a-sneak-peek-into/ba-p/1192251#

https://www.zdnet.com/article/microsoft-previews-microsoft-defender-atp-for-linux/

วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

การนำ เทคโนโลยีจดจำใบหน้ามาใช้ในโรงเรียน

โรงเรียนในนิวยอร์กได้นำเทคโนโลยีจดจำใบหน้ามาใช้เพื่อความปลอดภัย แต่ ก็มีผู้ไม่เห็นด้วยที่จะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ โดยเขาอ้างว่าจะทำให้เกิดความไม่เป็นส่วนตัวและความละเอียงในการใช้งาน สาเหตุของการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ สาเหตุมาจากเหตุ กราดยิงนักเรียนเมื่อปี 2019

โรงเรียนที่นำระบบนี้มาใช้นำร่องก็คือโรงเรียนรัฐบาลในเมือง Lockport เมืองเล็กๆที่ห่างออกไป 20 ไมล์ โดยระบบนี้จะทำการตรวจจับใบหน้าของผู้ที่โรงเรียนคิดว่าไม่น่าไว้ใจเช่นผู้ที่ถูกให้ออกจากโรงเรียน ผู้ที่มีประวัติก่ออาชญากรรม หรือ มีประวัติการล่วงละเมิดทางเพศ เป็นตั้น และระบบจะตรวจอาวุธ ปืนด้วย เมื่อกล้องหลายร้อยตัวตรวจพบในบริเวณใกล้กับโรงเรียน ก็จะ ส่งสัญญาณไปยัง รปภ

แต่เรื่องนี้ก็มีผู้ไม่เห็นด้วย โดยนาย Jim Shultz อายุ 62 ปีผู้ปกครองของนักเรียนมัธยมในโรงเรียนแห่งนั้นก็ออกมาโพสต์ปัญหาในกลุ่มเฟสบุค และยื่นตำร้องไปที่ผู้กำกับของเมื่องที่ลูกของเขาเรียน โดยเขาให้เหตุผลว่า โรงเรียนกำลังจะเปลี่ยนลูกหลานของพวกเขาให้กลายเป็นหนูทดลองในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงบุกรุกความเป็นส่วนตัว

จริงๆแล้วเทคโนโลยีจดจำใบหน้า ของบริษัทนี้ถูกนำไปใช้ในสถานที่ต่าง ๆ บ้างแล้ว เช่นสนามบิน สถานที่สาธารณะอื่น ๆ เช่น Madison Square Garden

ส่วนผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีของโรงเรียนล็อคพอร์ดซิตี้ ก็กล่าวว่าเขาเชื่อว่า การใช้เทคโนโลยีนี้เหตุการการดยิงที่ ฟลอริดาก็อาจจะไม่เกิดขึ้น

มุมมองของนักเรียนกันบ้างเด็กคนหนึ่งบอกว่า เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องติดกล้องมากมายเขาไม่รู้เหตุผล แต่ ก็มีเด็กที่รู้เหตุผลเขากล่าวว่าโรงเรียนของเขาสุดยอดมาก

ความเห็นของ นาย Shult ที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ได้รายงานไปยัง สหภาพเสรีภาพ พลเรือนนิวยอร์ก กลัชี้ไปที่ประเด็นความลำเอียงในเชื้อชาติ ผิวสี เขารายงานโดยให้ข้อมูลทางสถิติว่าปี 2558-2559 นักเรียนผิวสี ถูกลงโทษทางวินัย 25%

Jason nance ศาสตราจารย์ด้านกฏหมายของมหาวิทยาลัยฟลอริดา ให้ความเห้นว่า การระบุนักเรียนว่าเป็นบุคคลที่เฝ้าระวัง อาจจะมีผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจ หากนักเรียนที่ถูกพักการเรียนอาจถูกตรวจสอบอย่างหนัก และอาจจะจูงเข้าสูกระบวนการยุติธรรมโดยที่ไม่คาดคิด

อ้างอิง
https://www.nytimes.com/2020/02/06/business/facial-recognition-schools.html