วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2563

โอกาศของคนจะหางานหรืออยากจ้างงานฟรีแลนซ์อ่านทางนี้

ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีก็เปลี่ยนตาม การทำงานก็เปลี่ยนด้วยเช่นกัน... คนที่มีฝีมือสามารถหางานได้โดยไม่ต้องไปเดินทางไปทำงานที่ออฟฟิศ อยู่บ้านหางานทำออนไลน์ มีรายได้ทั้งเงินบาท เงินดอลล่าร์ ไม่ต้องออกจากงานใช้เวลาว่างทำงาน หรือถ้าหากต้องออกจากงาน จะมาหางานอะไรทำต่อไปดี.... นักศึกษายังไม่จบก็สามารถทำงานไปเรียนหนังสือไป...

งานฟรีแลนซ์หรืองานออนไลน์เป็นงานทีหารายได้ อีกวิธี และปัจจุบันก็มีช่องทางในการหางานโดยที่ไม่ต้องออกจากบ้านไปวิ่งขายงาน นำเสนอความสามารถ อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลอีกว่า เมื่อทำงานเสร็จแล้วจะไม่ได้รับค่าจ้าง เพราะการจ้างจะผ่านคนกลางที่จะดูแลเรื่องนี้

วันนี้จะมาแนะนำเว็บไซต์หางานสำหรับฟรีแลนซ์ และ ยังสามารถให้ผู้ว่าจ้างเลือกที่จะจ้างงานเป็นเรื่อง ๆ ไปอีกด้วยเช่นวันนี้เรามี ผลิตภัณฑ์ ที่ยังไม้ได้ออกแบบโลโก้เราก็สามารถหาฟรีแลนซ์ที่รับจ้างออกแบบโลโก้ให้เราได้ หรือ ต้องการหานักออกแบบแพคเกจสำหรับสินค้าเราก็จะสามารถมองหาฟรีแลนซ์ฝีมือดีมาออกแบบให้เราได้

ผู้สมัครเป็นฟรีแลนซ์ก็จะต้องทำเสนอความสามารถพร้อมผลงาน และผู้ว่าจ้างเมื่อได้รับงานแล้วต้องมารีวิวผลงานให้ ดังนั้นเมื่อทำไปนานๆ ผู้รับจ้างก็จะน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

ผู้ว่าจ้างเองก็เช่นกัน ผู้จะรับงานก็จะรู้ได้ว่า ได้คะแนนจากผู้รับจ้างมาเท่าไหร่แล้ว

1. เว็บในประเทศไทยที่อยากแนะนำก็คือ https://fastwork.co/   งานส่วนใหญ่ในนี้มีหลายประเภทมากจะเป็นงานออกแบบกราฟฟิก งานการตลาดออนไลน์เช่น เขียนคำโฆษณา งานตัดต่อวีดีโอ จ้างรีวิวสินค้า สำหรับ fastwork เป็นแพทฟรอม หางาน โดย Startup ไทย

2. เว็บ https://www.freelancer.co.th/ เป็นแพทฟอร์มมาจากต่างประเทศพยายามเข้ามาให้บริการในประเทศแต่การจ้างงานโดยมากมาจากต่างประเทศ จุดเด่นของเว็บนี้คือสมัครรับงานง่ายมาก ในเบื้องต้นยังไม่ต้องกรอกอะไรมากเพียงแต่บอกว่าเรามีความสามารถอะไร อยู่ในระดับไหน หลังจากนั้นเราค่อยเข้าไปเพิ่ม แต่ในระหว่างนั้นจะมีงานมานำเสนอว่า มีใครจะจ้างงานในงานที่เรามีความถนัดบ้าง ผู้ว่าจ่างเป็นใคร ต้องการให้งนเสร็จภายในกี่วัน และมีคะแนนและรีวิว ระดับไหน

3. https://www.fiverr.com/ เป็นแพทฟอร์มจากต่างประเทศที่มีประเภทของงานเยอะมาก และถ้าหากต้องการจะจ้างชาวต่างชาติทำงานก็ไม่แพง งานบางอย่างเริมที่ราคา 10$ เช่นงานบันทึกเสียงในภาษาต่าง ๆ เป็นต้น

ดังนั้นในยุคนี้หากต้องการรายได้เสริมรายได้หลัก อาชีพอิสระ สามารถเริ่มต้นด้วยการทำไปพร้อม ๆ กับงานประจำ หาแหล่งงานหลายๆด้าน และประเมินความสามารถของตัวเองว่าเราจะสามารถทำงานอะไรได้บ้าง หรือถ้าหากยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไร ลองเข้าไปดูงานออนไลน์ของทั้งสามเว็บนี้ดูก่อนว่า งานอะไรที่ตลาดต้องการ แล้วความสามารถของเราต้องประปรุงอะไรบ้าง 

หรือบางคนมีความสามารถด้านภาษาอาจจะเป็นคนกลางประสานงานต่างประเทศแล้วมาแบ่งกันทำกับเพื่อนในประเทศก็สามารถทำได้

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2563

รัฐบาลสิงคโปร์ ชวนประชาชนของเขา ดูแลสุขภาพผ่าน LumiHealth

 เห็นข่าวนี้ก็อดที่จะเอามาเล่าต่อไม่ได้ เป็นความร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลสิงคโป และ บริษัทเอกชนอย่าง Apple และข่าวนี้ก็ วางแผนที่จะออกมาหลังจากที่มีการเปิดตัว Apple Watch ซีรี่ 6 เมื่อวันที่ 16 กันยาที่ผ่านมา ฟีเจอที่เพิ่ทเข้ามาในรุ่นนี้ก็คือ เซ็นเซอร์ที่สามารถวัด ออกซิเจนในเลือด ผ่านแสงสีแดงที่ส่องลงไปใต้ผิวหนังและสะท้อนกลับมาประมวลผล 



ระดับออกซิเจนต่ำ (Hypoxemia) คือ แรงดันออกซิเจนหรือค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนน้อยว่าปกติ นั่นคือการมีระดับออกซิเจนในเลือดอยู่ต่ำกว่า 60 มิลลิเมตรปรอท หรือมีค่าความอิ่มตัวในเลือดน้อยกว่า 96% การที่มีระดับออกซิเจนต่ำอาจเกิดได้จากการเป็นโรคโลหิตจาง โรคปอดเรื้อรัง โรคถุงลมโป่งพอง โรคปอดบวม หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดลมและปอด ภาวะน้ำท่วมปอด ซึ่งโรคเหล่านี้จะทำให้ปอดทำงานได้ไม่เต็มที่ ร่างกายจึงเกิดภาวะขาดออกซิเจน ส่งผลให้มสมองทำงานและสั่งงานช้าลง หรือเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลว หรือการเข้าไปอยู่ในสถานที่อับอากาศก็เป็นสาเหตุให้เกิดสภาวะออกซิเจนต่ำได้

อ้างอิงจาก[1] https://www.mcareshop.com/article/4/

Apple Inc.และรัฐบาลสิงคโปร์ได้ร่วมมือกับโครงการด้านสุขภาพระยะเวลาสองปีที่เรียกว่า LumiHealth ซึ่งสร้างขึ้นจากการติดตามและให้รางวัลแก่พฤติกรรมของผู้ใช้ผ่านอุปกรณ์ Apple Watch และแอป iPhone

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ LumiHealth https://www.healthhub.sg/programmes/lumihealth#faq ซึ่งใช้กับประชาชนของสิงคโป ชาวสิงคโปร์จะสามารถรับรางวัลและบัตรกำนัลได้มากถึง S $ 380 ($ 280) โดยทำตามเป้าหมายและภารกิจที่กำหนดไว้ในแอป เป้าหมายสามารถทำได้โดยการเดินหรือทำแบบฝึกหัดอื่น ๆ เช่นว่ายน้ำหรือโยคะและแอป LumiHealth จะนำเสนอการฝึกสอนและการแจ้งเตือนส่วนบุคคลสำหรับการตรวจคัดกรองสุขภาพและการฉีดวัคซีน ความท้าทายด้านสุขภาพจะกระตุ้นผู้ใช้ให้เลือกอาหารที่ดีขึ้นและปรับปรุงพฤติกรรมการนอนหลับ

โครงการนี้ ประชาชนต้องมี Apple watch ซีรี่ย์ 3 ขึ้นไปจึงจะเข้าร่วมโครงการได้

รองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ กล่าวว่า “ แม้ว่าเราทุกคนทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายของ COVID-19 เราก็ต้องลงทุนต่อไปเพื่ออนาคตของเรา และไม่มีการลงทุนใดที่ดีไปกว่าสุขภาพส่วนตัวของเราเอง”

สำหรับเซ็นเซอร์ของ Apple Watch นั้น เมื่อปี 2019 กับ Apple Watch รุ่นก่อนหน้านั้น นักวิจัยจาก Stanford University School of Medicine ได้นำเสนอผลการศึกษาเบื้องต้นของ Apple Heart Study โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 400,000 คน นักวิจัยรายงานว่าเทคโนโลยีที่สวมใส่ได้สามารถระบุความผิดปกติของอัตราการเต้นของหัวใจได้อย่างปลอดภัยซึ่งการทดสอบในภายหลังยืนยันว่าเป็นภาวะหัวใจห้องบนซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดสมองและการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกา

ข้อค้นพบที่สำคัญจากการศึกษา ได้แก่ :

  • โดยรวมแล้วมีผู้เข้าร่วมเพียง 0.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับชีพจรที่ผิดปกติซึ่งเป็นการค้นพบที่สำคัญเนื่องจากมีข้อกังวลเกี่ยวกับการแจ้งเตือนเกินที่อาจเกิดขึ้น
  • การเปรียบเทียบระหว่างการตรวจจับชีพจรที่ผิดปกติบน Apple Watch และการบันทึกแพทช์คลื่นไฟฟ้าหัวใจพร้อมกันแสดงให้เห็นว่าอัลกอริธึมการตรวจจับชีพจร (ระบุการอ่านค่าทาโคแกรมเป็นบวก) มีค่าทำนายผลบวก 71 เปอร์เซ็นต์ แปดสิบสี่เปอร์เซ็นต์ของเวลาผู้เข้าร่วมที่ได้รับการแจ้งเตือนชีพจรผิดปกติพบว่าอยู่ในภาวะหัวใจห้องบนในเวลาที่ได้รับการแจ้งเตือน 
  • หนึ่งในสาม (ร้อยละ 34) ของผู้เข้าร่วมที่ได้รับการแจ้งเตือนชีพจรผิดปกติและติดตามโดยใช้แพทช์ ECG ในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาพบว่ามีภาวะหัวใจห้องบน เนื่องจากภาวะหัวใจห้องบนเป็นภาวะที่ไม่ต่อเนื่องจึงไม่น่าแปลกใจที่จะตรวจไม่พบในการตรวจติดตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจในภายหลัง 
  • ห้าสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ได้รับการแจ้งเตือนชีพจรผิดปกติขอความช่วยเหลือจากแพทย์

สำหรับการศึกษาผู้เข้าร่วมแต่ละคนจะต้องมี Apple Watch (ซีรีส์ 1, 2 หรือ 3) และ iPhone Apple Watch

ส่วน Apple Heart Study ไมไ่ด้มีบริการในประเทศไทย

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2563

เพียงแค่บอก สามคำก็ระบุตำแหน่งที่เราไม่รู้จักได้

 หลายคนอาจจะเคยเกิดปัญหาเมื่อเกิด อุบัติเหตุ แล้วไม่รู้ว่าจะแจ้งตำแหน่ง ว่าเกิดเหตุที่ไหนบนถนนอะไร เจ้าหน้าที่ถาม มุ่งหน้าเข้าหรือออก เราก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง



วันนี้มีบริการใหม่ ชื่อว่า https://what3words.com/ ให้ความแม่นยำสูง เพราะได้ใช้พิกัสตารางบนพื้นโลกเพียง 3x3 เมตรเท่านั้น ให้ลองนึกภาพว่าตำแหน่งที่เรานั่งอยู่มีตาราง 3 x 3 เมตรต่อกัน แต่ละตำแหน่งมีชื่อเรียก โดยที่ใช้ คำสามคำมาต่อกันเหมือนกับชื่อเว็บไซต์ เช่น https://what3words.com/แม่พระ.สูงมาก.เต่ง


และสามารถระบุเป็นชื่อ


ภาพจาก https://what3words.com/news/ride-hailing/all-electric-chauffeur-service-havn-integrates-what3words/

การนำไปใช้งาน

มีตัวอย่างการนำไปใช้กับ Airbnb  เพื่อระบุจุดทั้งแคมป์ที่จองไว้กับชนเผ่ากวางเรนเดีย ซึ่งพวกเขาจะย้ายถิ่นฐานบ่อยดังนั้น ใครจะจองสถานที่ค่อนค่างจะยาก Airbnb จึงนำ what3words มาใช้เพื่อระบุตำแต่งในการตั้งแคมป์ และตอนนี้ ครอบครัว ชนเผ่า Dukha  ได้ใช้ what3words ระบุว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน

ตัวอย่างการระบุจุดตั้งแคมป์

Network Rail เป็นเจ้าของดำเนินการและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของสหราชอาณาจักรใช้ในการแจ้งความเสียหายของเส้นทาง
 

ลองนึกภาพเมื่อรถไฟพาเราผ่านไปในสถานที่ ที่เราไม่รู้จัก ก็มักจะบอกไม่ได้ว่าตำแหน่งๆต่าง ๆ ที่อยู่บนทางรถไฟจุดที่ชำรุดเกิดดินถล่มอยู่ตำแหน่งไหนบนแผนที่

Shop & Ship นำ what3words เพื่อประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น



ที่  Kingdom of Saudi Arabia แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศส่วนใหญ่ไม่ได้จัดส่งพัสดุไปยังราชอาณาจักร แพลตฟอร์มการจัดส่ง Shop & Ship ของ Aramex ทำให้ Saudis สามารถซื้อสินค้าทางออนไลน์ได้ง่ายขึ้นโดยสั่งซื้อสินค้าไปยังสถานที่จัดเก็บใน 24 ประเทศจากนั้นจะจัดส่งไปยังซาอุดิอาระเบียเพื่อจัดส่งถึงบ้าน


ต่อไปนี้เมื่อเรา้เจอใครส่ง คำสามคำมา เราควรจะนำไปเปิดกับ ระบบแผนที่ของ what3words ก็จะได้กับตำแหน่งที่ถูกต้อง โอกาศที่ชื่อจะซ้ำกันก็มีเขาจึงมีการระบุประเทศลงไปด้วย เพื่อให้รหัสชื่อสามคำนั้นอ่านง่าย

 what3words ปัจุบัน มี 45 ภาษา (และยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ... ) ทำให้มีผู้เราสามารถเข้าถึงบริการได้มากขึ้นและเป็นมาตรฐานการระบุที่อยู่ทั่วโลกแบบใหม่


วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2563

เมื่อมนุษย์ทำให้ AI ประมวลผลเชิงอารมณ์ การรู้ดิจิทัลของเรา (Digital Literacy) ไม่เริ่มไม่ได้แล้ว

การประมวลผลเชิงอารมณ์หรือ“ AI ทางอารมณ์” ปรับแต่งประสบการณ์ตามพฤติกรรมความชอบและอารมณ์ของผู้ใช้แต่ละคน 

ในอดีตคอมพิวเตอร์ไม่สามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์กับอารมณ์ของมนุษย์หรือปัจจัยทางอารมณ์ได้ แต่สิ่งนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปเมื่อนักประดิษฐ์กำลังเพิ่มความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ให้กับ IQ ของเทคโนโลยีในระดับที่เหมาะสม การผสมผสาน AI 

 ในอนาคต ในอนาคตอันใกล้การโต้ตอบกับเทคโนโลยีของมนุษย์ที่ชาญฉลาดทางอารมณ์เช่นนี้น่าจะก่อให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ และวิธีการทำงานใหม่ ๆ

เช่นแอพจะถามคำถามที่อนุญาตให้ลูกค้าแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับความสนใจความกังวลและความต้องการระยะยาวของพวกเขา นอกจากนี้ยังรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์การกุศลเป้าหมายของแต่ละบุคคลบุคคลสำคัญและความสัมพันธ์ อัลกอริทึมตรงกับความสนใจของลูกค้ากับเนื้อหาการบริหารความมั่งคั่งนำเสนอข้อมูลการลงทุนและการเงินที่เป็นส่วนตัว

การศึกษาพฤติกรรมจากน้ำเสียงผ่านการสนทนากับ AI ซึ่งจะทำให้ AI โต้ตอบกับมนุาย์แบบมีอารมณ์ ทำให้เกิดอรรถรส ในการสนทนา




สวมเอียร์บัดตรวจจับสมองที่มีอิเล็กโทรดที่วัดการทำงานของสมองชองมนุษย์ อุปกรณ์ มีลักษณะและการทำงานเหมือนเอียร์บัดบลูทู ธ มาตรฐาน สวมทางศรีษะ มันคือ electroencephalogram (EEG) แบบเคลื่อนที่ที่สามารถวัดและวิเคราะห์ระดับความเครียดและความฟุ้งซ่านให้ผู้สวมใส่  และได้รับข้อเสนอแนะทันทีเพื่อปรับปรุงสุขภาพประสิทธิภาพการทำงานหลังการประชุมเครียด

เมื่อ AI เรียนรู้อารมณ์ มนุษย์ต้องรู้ดิจิทัล

 เด็กยุคนี้เราอาจจะเรียกเขาว่า ชาวดิจิทัล เพราะเด็กๆยุคนี้จะสามารถมีส่วนร่วมเทคโนโลยี่ได้อย่างง่ายดาย เช่นการเข้าถึงสือส้งคมออนไลน์ การใช้งานวีดีโอสตรีมมิ่งหรือการถ่ายทอดสด

เมื่อเทียบกับผู้สูงอายุการเข้าถึง หรือการรู้ดิจิทัล ดูจะน้อยมากและจะไม่ค่อยถนัดเวลาต้องใช้งาน เมื่อคนสองวัยมาเจอกัน ผู้สูงอายุก็จะไม่เข้าใจว่า ทำไมเด็กๆชอบอยู่แต่หน้าจอ ตลอดเวลา 

สำหรับผู้ที่ไม่รู้ดิจิทัล ก็อาจจะไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐได้ ยกตัวอย่าง การลงทะเบียนเพื่อ ขอรับควาช่วยเหลือจากรัฐ ช่วง covid-19 

สมรรถนะสำหรับความรู้ดิจิตอลสามารถจำแนกตามสามหลักการสำคัญ: การใช้งาน การเข้าใจ และการสร้าง 

การใช้งาน (Use)แสดงถึงความคล่องแคล่วทางเทคนิคที่จำเป็นในการมีส่วนร่วมกับคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ทักษะและความสามารถที่อยู่ภายใต้การ“ ใช้” มีตั้งแต่ความรู้ทางเทคนิคขั้นพื้นฐานโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น โปรแกรมประมวลผลคำ เว็บเบราว์เซอร์ อีเมล และเครื่องมือสื่อสารอื่น ๆ ไปจนถึงความสามารถที่ซับซ้อนมากขึ้น ในการเข้าถึง และใช้แหล่งข้อมูลความรู้เช่นเครื่องมือค้นหา และฐานข้อมูลออนไลน์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่นคลาวด์คอมพิวติ้ง

เข้าใจ (Understand)ว่าเป็นส่วนสำคัญ - เป็นชุดของทักษะที่ช่วยให้เราเข้าใจบริบทและประเมินสื่อดิจิทัลอย่างมีวิจารณญาณเพื่อให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำและพบทางออนไลน์ ทักษะเหล่านี้เป็นทักษะสำคัญที่เราต้องใช้ในการเริ่มสอนลูก ๆ ทันทีที่ออนไลน์

ทำความเข้าใจรวมถึงการตระหนักว่าเทคโนโลยีเครือข่ายส่งผลต่อพฤติกรรมของเราและการรับรู้ความเชื่อและความรู้สึกของเราเกี่ยวกับโลกรอบตัวเราอย่างไร

นอกจากนี้ความเข้าใจยังเตรียมเราให้พร้อมสำหรับเศรษฐกิจแห่งความรู้ในขณะที่เราพัฒนาทักษะการจัดการข้อมูลแบบรายบุคคลและแบบรวมสำหรับการค้นหาประเมินและใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิผลเพื่อสื่อสารทำงานร่วมกันและแก้ปัญหา

สร้าง (Create) คือความสามารถในการผลิตเนื้อหาและสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพผ่านเครื่องมือสื่อดิจิทัลที่หลากหลาย การสร้างสรรค์ด้วยสื่อดิจิทัลเป็นมากกว่าการรู้วิธีใช้โปรแกรมประมวลผลคำหรือเขียนอีเมลซึ่งรวมถึงความสามารถในการปรับเปลี่ยนสิ่งที่เราผลิตสำหรับบริบทและผู้ชมที่หลากหลาย เพื่อสร้างและสื่อสารโดยใช้สื่อสมบูรณ์เช่นรูปภาพวิดีโอและเสียง และมีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบกับเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้นจาก Web 2.0 เช่นบล็อกและฟอรัมการสนทนาการแบ่งปันวิดีโอและภาพถ่ายการเล่นเกมบนโซเชียลและโซเชียลมีเดียรูปแบบอื่น ๆ

สิ่งที่ยังน่าห่วงคือ “ความปลอดภัยในข้อมูลส่วนบุคคล” เพราะทุกช่วงวัยยังมีพฤติกรรมเสี่ยงในโลกออนไลน์ ทั้งการไม่เปลี่ยนรหัสผ่านทุก 3 เดือน การระบุวันเดือนปีเกิดในโลกออนไลน์ การทำธุรกรรมในเว็บธนาคารโดยไม่สังเกตURL  การคลิ๊กลิงก์ที่ไม่รู้จัก แชร์โลเคชั่นพิกัดของตนเอง ไม่ลบรหัสผ่านหลังใช้อินเทอร์เน็ตสาธารณะ ไม่ตั้งคำสั่งล็อคหน้าจออัตโนมัติหลังเลิกใช้งาน อัพโหลดบอร์ดดิ้งพาสในโซเชียลมีเดีย ฯลฯ โดยพบว่า Gen Z ที่อายุไม่เกิน 22 ปีเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ส่งต่อข้อมูลส่วนบุคคลของตัวเองมากที่สุด ขณะที่ทุกช่วงวัยมีความตระหนักรู้อันตรายของพฤติกรรมเหล่านี้ต่ำมาก เช่น กรณีการอัพโหลดบอร์ดดิงพาสก่อนขึ้นเครื่อง มีคนรู้ว่าไม่ปลอดภัยเพียงร้อยละ 12

สิ่งที่สำคัญในยุคนี้ คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะโลกของดิจิจทัลเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมีอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา ภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ ทักษะในการหาความรู้ การสืบค้น การสังเกตุ

ภายใต้ "การรู้ดิจิทัล" คือความหลากหลายของทักษะต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันซึ่งทักษะเหล่านั้นอยู่ภายใต้ การรู้สื่อ (Media literacy) การรู้เทคโนโลยี (Technology literacy) การรู้สารสนเทศ (Information literacy) การรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เห็น (Visual literacy) การรู้การสื่อสาร (Communication literacy) และการรู้สังคม (Social literacy)