วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2564

ก.ล.ต ร่างกฏควบคุมนักลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี กลายเป็นเรื่องร้อนในคลับเฮ้าส์

 หลังจากที่ ก.ล.ต. เเปิดรับฟังความเห็นเกี่ยวกับการกำหนดคุณสมบัติของผู้ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี และกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องทดสอบความรู้ (knowledge test) ของผู้ลงทุนก่อนการให้บริการ นักลงทุนต้องปีรายได้ 1 ล้านบาทต่อปี โดยไม่ร่วมคู่สมรส หรือ มีสินทรัพย์ 10 ล้่านบาทขึ้นไปที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยปัจจุบัน หรือ เคยลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี มาแล้วสองปี


เนื้อหาและเอกสารแสดงความเห็นอ่านได้จากลิงค์ต่อไปนี้ คลิกเลย ซึ่งกฏระเบียบนี้จะใช้ประมาณไตรมาส 3 ของปี 2564 ประเด็นนี้ทำให้ นักลงทุน และ บริษัทผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล มีปัญหาอย่างแน่นอน หลายคนไม่เห็นด้วยก็เกิดการพูดคุยกันใน คลับเฮ้าส์

โดยรวมแล้วไม่เห็นด้วยกับข้อแรก คุณสมบัติของนักลงทุน 

คุณสมบัติด้านฐานะการเงิน ได้แก่
ก. มีรายได้ต่อปี ไม่นับรวมกับคู่สมรส ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป หรือ
ข. มีสินทรัพย์สุทธิ(net worth) ตั้งแต่ 10 ล้านบาท โดยไม่นับรวมมูลค่า อสังหาริมทรัพย์ซึ่งใช้เป็นที่พักอาศัยประจำ หรือ
ค. มีมูลค่าการลงทุนในหลักทรัพย์ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือสินทรัพย์ดิจิทัล (port size) ตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป

เนื่องจากประเด็นนี้หลายคนมองว่า เป็นการกีดกันนักลงทุนหน้าใหม่ที่ต้องการจะลงทุน จะศึกษา พูดง่ายๆอยากทดลองเพราะ จะมีสักกี่คนที่มีรายได้เกิน 1 ล้านบาทต่อปี ก็ยอมรับว่าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยรุ่น นักคอมพิวเตอร์ มุมมองของพวกเขามองว่าข้อนี้ไม่น่าจะเอามาเป็นกฏข้อบังคับ เพราะ น่าจะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะสามารถเปิดบัญชีได้ คนมีเงินน้อยก็ทำการซื้อขายได้อยู่แล้ว 

คุณสมบัติด้านความรู้ โดยจะต้องเป็นผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี หรือ มีประสบการณ์ลงทุนในหลักทรัพย์ หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ไม่น้อยกว่า 2 ปีหรือ เป็น professional ตามที่สำนักงานกำหนด 

ในหัวข้อนี้คนส่วนใหญ่ก็ ไม่เห็นด้วย ก็คงไม่มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ที่แสดงความเห็นกันก็ไม่เคยลงทุนในหลักทรัพย์อื่นมาก่อน

สำหรับการสอบวัดความรู้ว่าจะต้องสอบผ่านร้อยละ 80 เพื่อให้มั้นใจว่ามีความรู้ ความเข้าใจ ความเสี่ยงอย่างแท้จริง ซึ่งในประเด็นนี้ หลายคนให้การยอมรับว่าเห็นด้วย

ผลการทบกับบริษัทโบรคเกอร์ และ บริษัทที่จะเข้ามาลงทุนเปิดเป็นโบรคเกอร์ จะได้รับผลกระทบโดยตรงเพราะจะมีคนปิดบัญชี และ เปิดใหม่น้อยลงอย่างแน่นอน และหากกฏข้อบังคับออกมาใหม่มาเรือยๆ แบบนี้ จะสร้างความไม่มั่นใจได้ และ นักลงทุนราย้อยก็จะแห่กันไปเปิดบัญชีที่ต่างประเทศ ซึ่งการเปิดบัญชีในต่างประเทศยังสามารถทำได้ทั่วโลก ยังไม่มีกฏข้อบังคับเหมือน การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นข้ามประเทศ 

หากเป็นแบบนี้คนย้ายไปซื้อขายกับต่างประเทศ ภาษี จากการซื้อขายก็จะเก็บไม่ได้ด้วย

และนี้คือประเด็นร้อนตลอดหลายวันมานี้คนจับกลุ่มคุยกันและร้อนแรงมากก็เมือวันหยุดที่ผ่านมา


การปฏิบัติงานเรื่อง Data privacy ส่วนของภาครัฐ

ประเด็นร้อนที่นักคอมพิวเตอร์เป็นห่วง และเปิดห้องคลับเฮ้าส คุยกันก็เป็นเรื่อง data privacy ที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ ที่ยังปฏิบัติไม่ถูกต้อง เช่นประเด็นการปิดประกาศต่างๆ ที่ไม่ปกปิดหมายเลขบัตรประชาชน ถึงจะต้องมีการเปิดแต่ควรจะมีการปิดตัวเลขส่วนกลางไว้เป็นต้น บางหน่วยงานเปิดเผยลงเว็บไซต์กันเลย

ความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในทางปฏิบัติ ที่อาจจะมีผลกระทบ
ต่อหารนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้งาน ต่อ เช่นข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่เกรงว่าจะมีการเอาชื่อผู้ถือหุ้นมาเปิดเผยซึ่งปัจจุบันเปิดเผยแต่กรรมการผู้มีอำนาจ 

ข้อมูลที่มีถูกแบ่งปันกับบุคคลที่สามหรือไม่ วิธีรวบรวมหรือจัดเก็บข้อมูลอย่างถูกกฎหมาย
การเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลโดยอำนาจของรัฐ

ในประเด็นของการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลโดยการใช้อำนาจของผู้มีอำนาจระดับสูงเช่นการขอรายงานการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของ องค์การบริหารส่วนตำบลที่เป็นผู้ประมวลผลข้อมูลเองโดยจะมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับที่ดินและทรัพย์สินสิ่งปลูกสร้างของประชาชนในตำบลแต่ ต้องส่งรายงานไปจังหวัดซึ่งทางปฏิบัติ อาจจะมีผู้มีอำนาจระดับสูงขอรายงานข้อมูลทั้งหมดซึ่งแทนที่จะเป็นรายงานประมาณการจัดเก็บรายได้ว่าจัดเก็บได้เท่าไหร่ ซึ่งปัญหาต่างๆ ที่น่ากังวลต่อการเก็บรักษาข้อมูล

ดังนั้นก่อนถึงเดือนพฤษภาที่จะบังคับใช้กฏหมาย อาจจะต้องมีคู่มือแนวทางปฏิบัติ ให้มากขึ้นและ สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลต้องเร่งทำคู่มือแนวทางปฏิบัติให้ถูกต้อง เพราะสุ่มเสียงต่อการกระทำผิดกฏหมาย

ประเด็นนี้ให้ข้อสรุปง่าย ๆ จากในกลุ่มว่า ก่อนจะประกาศข้อมูลอะไรออกมา ให้นึกถึงใจเขาใจเราว่า หากเราเป็นผู้ประกาศข้อมูลจะต้องระวังเรื่องอะไร ถ้าเป็นข้อมูลของเรา ข้อมูลอะไรที่ไม่ควรเปิดเผย 


ไม่มีความคิดเห็น: