การศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นรากฐานของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เรื่องนี้นักการศึกษาเข้าใจเรื่องนี้ดี พื้นฐานการเรียนรู้ของเด็กที่เริ่มจากการให้ฝึกอ่าน ฝึกเขียน ฝึกให้คิดเลข ให้เรียนวิทยาศาสตร์ เรียนฟิสิกส์ เด็กๆเองก็เรียนหนังสือหนักมากในยุคปัจจุบัน เพราะสาเหตุหลักน่าจะเกิดจากคนในยุค Gen x ที่พ่อแม่ตอนนี้อายุ 40 ปีขึ้นไปสมัยก่อนอาจจะไม่ได้เรียนอย่างที่ตนเองอยากเรียนพอมีลูกก็ส่งไป ติว ส่งไปเรียนพิเศษ เพื่อจะได้แข่งขันกับคนอื่นได้
ปัญหาเรื่องการศึกษาจริงๆ แล้วคืออะไร
ปัญหาเรื่องการศึกษาจริงๆ แล้วก็คือเรียนไปแล้วไม่รู้ว่าเอาไปใช้ทำอะไร จะนำไปแก้ปัญหาอย่างไร เช่นเราเรียนคณิตศาสตร์เรื่อง พีชคณิตบูลีน ที่ว่ากันด้วยเลขฐานสอง เรียนแล้วเอาไปใช้ทำอะไร เพราะในอดีตเรามักจะได้ยินคำว่าเรียนแล้วไ่ม่ได้ใช้ แต่จริงๆ แล้วเรื่องของเลขฐานสองถูกนำไปใช้เยอะมากในคอมพิวเตอร์ในการออกแบบการควบคุมที่ใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อเรียนไปแล้วค่อยมาพบว่าคณิตศาสตร์บางวิชาถูกนำมาใช้กับการออกแบบเข้ารหัสในคอมพิวเตอร์เมื่อเรียนสูงขึ้น หรือ การจำแนกเรื่องจริงและเรื่องไม่จริงออกจากกัน โดยใช้ พีชคณิตบูลีน
ปัญหาจากการเรียนในแบบเก่า
การศึกษาในรูปแบบเก่าจะเน้นเพียงทฤษฎี คิดเลขไว ท่องจำแม่น แต่ไม่รู้ว่าที่เรียนไปนั้นเอาไปทำอะไรและเราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน สังเกตง่ายๆ ไม่ว่าจะอ่านเอกสารงานวิจัยอะไรก็มักจะขึ้นต้นว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท ปัญหาในการเรียนแบบเก่าเมื่อเรียนแล้วเข้าใจยากเพราะไม่สามารถมีตัวอย่างให้เห็นได้และรายวิชาแยกกันชัดเจนเลยไม่รู้ว่าจะนำมาใช้ได้อย่างไร เด็กจึงท่องจำเพื่อนำไปสอบ เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว แนวคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์มีน้อยจึงเกิดปัญหาขึ้นเช่นการขับรถจี้ตูดเพื่อนอีกขั้นระยะเบรกจะเกิดปัญหา หรือ การแซงซ้ายรถที่กำลังเลี้ยวซ้าย จะเกิดปัญหาอย่างไร
นักการศึกษาเชื่อว่า STEM ศึกษาคือทางออก
STEM คืออะไร สะเตมศึกษา เป็นคำย่อจากภาษาอังกฤษของศาสตร์ 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) เพื่อให้ทันกับอนาคตเพราะการศึกษาคือเรื่องอนาคต เด็กในว้นนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้าไงละครับ เราจึงต้องบรูณาการโดยเอาทั้งสี่วิชามาเน้นแก้ปัญหาในชีวิตจริง มีนักการศึกษาบางกลุ่มบอกว่า STEM อย่างเดียวอาจจะแก้ปัญหาบางอย่างไม่ได้ต้องมี A (Art) ด้วยคือวิชา ศิลปะ เพราะในชีวิตจริงงานศิลปะถูกนำมาใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือปรับปรุงแก้ไขให้ดูดีขึ้น การศึกษากลุ่มนี้จะเรียกว่า STEM-A
สถาบันการศึกษาต้องปรับตัวอย่างไร
สำหรับสถานศึกษาควรเร่งให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ซึ่งปัจจุบันพบว่า มีหน่วยงานภาครัฐอย่าง สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ เองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ควรส่งเสริมให้ครูในสี่ด้านวิชา จัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการไปด้วยกัน และร่วมกันทำหลักสูตรเพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี ทำอย่างไรที่จะให้สอดคล้องไปด้วยกัน และ ปัญหาส่วนใหญ่ของสถานศึกษาโดยมากจะมุ่งเน้นไปที่ภาพลักษณ์ของโรงเรียนมากกว่า เช่น ป้ายโรงเรียนสวยงาม ต้นไม่งามสะอาดเป็นระเบียบ แต่สิ่งที่จำเป็นมากๆ สำหรับการศึกษาคือชุดฝึก ชุดทดลองที่ขาดแคลน ตำราเรียน ไม่ใช่แค่ส่งครูมาศึกษาสัมมนาแค่สองสามวัน จะสามารถที่จะบูรณาการได้ สถานศึกษาต้องปรับตัว
ภาครัฐต้องปรับตัวอย่างไร
ภาครัฐที่ตื่นตัวอยู่ในตอนนี้ก็ทำได้ดี แต่ขาดเรื่องของตัวอย่างการเรียนการสอนว่าจะให้คุณครูทำการสอนแบบไหนหรือพูดอีกอย่างคือขาดแคลนแผนการสอนที่เป็นแม่แบบ วิชาเทคโนโลยีไม่ใช่แค่เรียน word excel powerpoint เท่านั้น หรือสอนให้ใช้คอมพิวเตอร์เป็นแต่ไมไ่ด้เน้นสอนเพื่อนำไปแก้ปัญหา เรื่องของแม่แบบแผนการสอน สื่อการสอนเพื่อจะได้เป็นตัวอย่างสำหรับโรงเรียนที่ยังไม่พร้อมหรือ พร้อมแล้วแต่ยังไม่สามารถบูรณาการ STEM เข้ามาใช้ได้
คุณครูต้องปรับตัวอย่างไร
กลับมาที่ครูซึ่งเป็นปลายน้ำแล้วละครับ ครูที่ต้องอยู่กับเด็กใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด ต้องหาความรู้ซึ่งในปัจจุบันมีให้ศึกษาเพิ่มเติมมากมาย คุณครูต้องรู้จักแบ่งเวลามาปรับปรุงรายวิชาซึ่งหลายคนก็ทำอยู่แล้ว หรือหาผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ มาให้ความรู้กับเพื่อนครู หรือร่วมกันทำตำราหรือแผนการสอนเพื่อให้สามารถบูรณาการร่วมกันได้ คุณครูต้องเปิดใจ รับความรู้ใหม่ๆ จากเพื่อนครูด้วยกันเอง อาจจะนำครูช่าง ครูสายอาชีวะเข้ามาทำการสอนพิเศษให้เด็กๆ เป็นรายกิจกรรมไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น